ปัจจุบันเป้าหมายในการรักษาโรคมะเร็ง นอกจากจะรักษาให้หายแล้ว ต้องเป็นการหายแบบมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้มากที่สุด ซึ่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในการรักษาทางด้านรังสี ได้มีบทบาทในส่วนนี้เป็นอย่างมาก
การรักษาทางด้านรังสีได้พัฒนาจากการฉายรังสี
2 มิติ เป็นรังสี 3 มิติ ที่เป็นรู้จักกันดีคือ รังสีแปรความเข้มสามมิติ
(IMRT) ที่ปรับความเข้มของรังสีตามสัดส่วนความหนาบางของก้อนมะเร็งในแนวทางเข้าของลำรังสีนั้นๆ
โดยคำนึงถึงการกระจายรังสีที่แตกต่างกันเป็นจุด หรือช่อง(voxel) หรือเรียกส่วนย่อยๆนี้ว่า Beamlets ตามความเหมาะสมของรอยโรค
ทั้งนี้จะอาศัยระบบคอมพิวเตอร์ในการกำหนดความเข้มของรังสี ซึ่งจะให้สูงที่สุดในตำแหน่งที่ก้อนมะเร็งหนาที่สุดและต่ำสุดในตำแหน่งที่ก้อนมะเร็งบางที่สุด ด้วยคุณสมบัติในการหลีกเลี่ยงอวัยวะสำคัญต่างๆได้ดีกว่า
จึงมีข้อบ่งชี้ในกลุ่มโรคมะเร็งต่างๆดังนี้
1.ใช้สำหรับรอยโรคที่โค้งล้อมรอบอวัยวะสำคัญ
เช่น มะเร็งที่ล้อมรอบประสาทไขสันหลัง , มะเร็งต่อมลูกหมากที่โอบล้อมลำไส้ใหญ่ส่วนตรง
, มะเร็งโพรงหลังจมูก เป็นต้น
2.ใช้สำหรับบริเวณที่ใกล้เนื้อเยื่อปกติและมีปัญหาในการวางแผนการรักษาด้วยเทคนิคทั่วไป เช่น
มะเร็งเต้านม และมะเร็งสมอง
3.ใช้ในกรณีที่เนื้องอกอยู่ในบริเวณที่ใกล้กับเนื้อเยื่อปกติที่ความทนต่อรังสีต่ำ
เช่นมะเร็งตับอ่อน มะเร็งศีรษะและลำคอ
ปัญหาสำคัญ คือ การวางแผนการรักษาด้วย รังสีแปรความเข้มสามมิติ
จะเป็นภาพ 3 มิติที่ได้มาจากการเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ แต่จะเป็นภาพนิ่งในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ก้อนเนื้องอกในบางส่วนหรือบางอวัยวะก็อาจสามารถเปลี่ยนแปลง
ทั้งในระหว่างการฉายรังสีแต่ละครั้ง หรือการฉายรังสีครั้งต่อครั้ง ทั้งนี้อาจเนื่องจากอวัยวะภายในมีการเคลื่อนไหวโดยผลกระทบจากการหายใจ เช่น มะเร็งบริเวณปอด ตับ หรือตับอ่อน หรือการเปลี่ยนแปลงขนาดของเนื้องอก
หรือ ท่านอนที่จะฉายรังสีคลาดเคลื่อน เช่น เอียงซ้ายหรือขวา สิ่งเหล่านี้มีโอกาสทำให้ก้อนเนื้องอกหลุดออกจากแนวของรังสี
ดังนั้นเนื้องอกอาจไม่ได้รับปริมาณรังสีตามที่วางแผนไว้ ในขณะเดียวกัน อาจจะทำให้เนื้อเยื่อปกติที่อยู่ข้างเคียงได้รับปริมาณรังสีสูงกว่าระดับที่ค้องการ
ในปัจจุบันได้
จึงมีการพัฒนาเทคนิคใหม่ที่เรียกว่า รังสีรักษาภาพนำวิถี Image Guided Radiation Therapy ( IGRT ) เป็นการใช้ภาพของเนื้องอกหรือบริเวณที่ต้องการได้รังสีมาร่วมในการวางแผนการรักษา
และใช้ในการตรวจสอบตำแหน่งในการฉายรังสีในแต่ละวันของการรักษา โดยสร้างภาพจากการหมุนเครื่องเร่งอนุภาคหรือเครื่องฉายรังสีรอบผู้ป่วย 1 รอบ เพื่อให้ได้ข้อมูลภาพที่แท้จริง
จากกล้องสร้างภาพที่เรียกว่า OBI ( Onboard imager
) ในขณะที่จะฉายรังสี เพื่อการตรวจสอบกับแผนการรักษก่อนที่จะปล่อยรังสี
ซึ่งถ้าคลาดเคลื่อนก็จะมีการแก้ไขได้ก่อนที่จะปล่อยรังสีออกไป
นอกจากนี้
ด้วยระบบกล้องอินฟาเรดที่สามารถจับการเคลื่อนไหวการหายใจของผู้ป่วย ที่เกิดระหว่างการจำลองการรักษาด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทำให้ได้ภาพเนื้องอกที่มีการเคลื่อนไหว
ตลอดช่วงการหายใจ ที่เรียกว่า ภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
สี่มิติ หรือ Gated
4D CT ภาพดังกล่าวจะถูกนำมาวางแผนการรักษา และเครื่องเร่งอนุภาคจะปล่อยรังสี
เมื่อก้อนเนื้องอกหรือภาพบริเวณที่ต้องการได้รังสี ปรากฏอยู่ในตำแน่งการรักษาที่วางแผนไว้เท่านั้น ทำให้มั่นใจได้ว่าการยิงรังสีถูกเป้าหมายได้อย่างแม่นยำแน่นอน
ด้วยวิธีนี้ผู้ป่วยจึงสามารถหายใจตามธรรมชาติได้ โดยไม่ต้องกลั้นหายใจหรือกดกระบังลม เพื่อบังคับการหายใจ
ดังนั้น IGRT จึงเป็นเทคนิคการรักษาในมิติที่4 ที่ ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน
ที่เพิ่มโอกาสการหายจากโรคของผู้ป่วยมะเร็ง โดย
ลดภาวะแทรกซ้อนของเนื้อเยื่อปกติจากรังสีได้ นับเป็น Targeted Therapy ในระดับ Macro ที่ให้การรักษาเฉพาะบริเวณที่ต้องการรักษา
เพื่อบรรลุเป้าหมายการรักษาและลดภาวะแทรกซ้อนได้อย่างดี
อย่าลืมนะครับ
ทุกเทคโนโลยีจะมีข้อบ่งชี้และความจำเป็นในการใช้ เราจะใช้อย่างพอเพียง
โดยไม่เกินความจำเป็นนะครับ ปรึกษาแพทย์ที่ท่านรักษา
ซึ่งจะเป็นผู้ที่รู้รายละเอียดโรคของท่านมากที่สุดนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น