วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ทีมสู้มะเร็ง : การบอกข่าว ( ร้าย) ตอน แนวทางปฎิบัติ (1)

Carola Seifart  แพทย์ชาวเยอรมัน ผู้สนใจในกระบวนการบอกข่าวร้าย  ได้กล่าวว่า แพทย์ที่รักษาโรค มะเร็ง ทุกสาขาต้องมีจังหวะที่ต้องแจ้งข่าวร้ายกับผู้ป่วย เพราะต้องบอกทั้งการวินิจฉัย พยากรณ์โรค และบ่อยครั้งที่ต้องพูดถึงผลการรักษาที่ไม่ได้ผล จึงได้กำหนดแนวทางปฎิบัติพื้นฐาน ที่เรียกว่า  SPIKES  ให้แพทย์ได้ทำตาม

 ภาพประกอบจาก : http://www.sharecare.com/health

SPIKES  ประกอบไปด้วย ขั้นตอน คือ S (Setting), P (Perception),  I(Information), K  (knowledge  ),  E  (Empathy),  S (Strategy& Summary) ทุกขั้นตอนจะมีความสำคัญ ที่ทำให้การบอกข่าวร้ายเป็นไปด้วยความนุ่มนวล เรียบร้อย       
      
Robert Buckman แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านมะเร็งวิทยา  ได้แนะนำแนวทางแจ้งข่าวร้ายใน 6 ขั้นตอน  ซึ่งมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน คือ  Getting started, What does the patient know,  How much does the patient want to know, Sharing information, Responding to patient and family, Planning and follow-up
ซึ่งเมื่อศึกษาทั้ง 2  แนว ทาง พอจะสรุปได้ดังนี้
           1. การเตรียมความพร้อมในการแจ้งข่าว
1.1             สถานที่  การเตรียมสถานที่ที่เหมาะสมในการการพูดคุย เพื่อความเป็นส่วนตัว  และจัดสรรเวลาอย่างเพียงพอสำหรับการพูดคุย  ควรให้ความสำคัญในการพูดคุย โดยปิดอุปกรณ์สื่อสารเพื่อป้องกันการถูกขัดจังหวะขณะคุย
1.2             ข้อมูล  สรุปทบทวนประวัติผู้ป่วย เพื่อความถูกต้อง เพราะจะมีส่วนสำคัญในเรื่องจิตใจ และความคาดหวัง   โดยก่อนเริ่มควรบอกผู้ป่วยให้ชัดเจนว่าการพูดคุยเป็นเรื่องจำเป็นเกี่ยวกับตัวโรค    
1.3             ทีม  นอกจากแพทย์ พยาบาลและผู้ป่วยแล้ว  โดยทั่วไปควรมีญาติอยู่ด้วย  เพราะจะช่วยให้มีความรู้สึกที่มั่นคงปลอดภัยกับผู้ป่วยมากขึ้น    ยกเว้นผู้ป่วยจะเลือกอยู่คนเดียว ซึ่งในวัฒนธรรมไทยจะไม่ค่อยมีลักษณะนี้ในการสนทนานั้น ควรสร้างความรู้สึกเป็นทีมเดียวกัน  ไม่ควรนั่งกอดอกหรือไขว่ห้าง และมีท่าทางผ่อนคลาย

2. สร้างบรรยากาศการสนทนา ค้นหาความเข้าใจพื้นฐานของผู้ป่วย  เริ่มด้วยการซักถามอาการปัจจุบันเล็กน้อย  ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกถึงสื่อสารแบบสองทาง   ที่จะทำให้ผู้ป่วยกล้าพูดคุยมากขึ้น       หลังจากนั้นก็ต่อด้วยความเข้าใจของผู้ป่วยและญาติว่ามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่เป็นว่าเป็นโรคอะไร  หรือหมอคนก่อนๆ บอกว่าอย่างไร ต้องรักษาอย่างไร  เพื่อให้การสนทนาราบรื่น ไม่ให้เกิดความขัดแย้งของข้อมูลมากนัก    เพราะความขัดแย้งอาจทำให้ผู้ป่วยไม่กล้าพูดเพิ่มเติม แต่ถ้าผู้ป่วยมีปฏิกิริยาทางอารมณ์มากหรือไม่พร้อมที่จะสนทนาต่อ ควรสรุปเรื่องที่เข้าใจตรงกัน   โดยยังไม่จำเป็นต้องให้ข้อมูลใหม่มากนัก เป็นการเว้นจังหวะให้ผู้ป่วยเริ่มรับทราบประเด็นที่อาจจะต้องคุยต่อเท่านั้น
3. ประเมินความต้องการข้อมูล   เราอาจจะต้องประเมินก่อนว่าในแต่ละประเด็นที่จะให้ข้อมูลนั้น     ผู้ป่วยและญาติแต่ละรายจะมีความต้องการทราบมากน้อยแค่ไหน เพราะแต่ละคนจะมีความรู้เกี่ยวกับการเจ็บป่วยที่แตกต่างกันไป                        

คำถามที่อาจช่วยในการประเมิน เช่น คุณอยากทราบไหมครับ ว่าป่วยเป็นโรคอะไร   อยากทราบรายละเอียดทั้งหมดหรือไม่
 อยากให้หมอคุยกับใครเพื่อวางแผนการรักษาไหม

ผู้ป่วยที่อยากรู้จะบอกกับแพทย์ทันทีว่าอยากรู้  ส่วนผู้ป่วยที่ไม่อยากรู้อาจมีวิธีปฏิเสธหลายรูปแบบ บางครั้งอาจตัดบทหรือนิ่งเงียบไป

อย่าลืมนะครับ   ข้อมูลที่ผู้ป่วยอยากทราบกับข้อมูลที่หมออยากบอก  อาจจะไม่ตรงกันก็ได้  เช่น   บางครั้งผู้ป่วยกังวลเรื่องค่ารักษา เรื่อง  ผลที่จะกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้ป่วย แต่แพทย์พยายามอธิบายแนวทางการรักษาและหลักฐานทางวิชาการ  เช่น  ทำไมต้องใช้ยามุ่งเป้า เป็นต้น

ติดตามตอนต่อไปนะครับ











1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ8 ธันวาคม 2557 เวลา 00:45

    เข้าใจความสำคัญของการบอกข่าวร้ายและเทคนิคที่ญาติควรสนใจเพ่ือเป็นประโยชน์มากขึ้น

    ตอบลบ