โดยทั่วไป เวลาที่เราจะรักษาโรค เรามักจะคำนึงถึงมาตรฐานการรักษา
ว่าได้มาตรฐานหรือไม่
แน่นอนที่เราจะไม่เลือกการรักษาที่ต่ำกว่ามาตรฐาน โรงพยาบาลหรือสถาบันทางการแพทย์แต่ละแห่งควรมีสิ่งที่เรียกว่า
Clinical
Practice Guideline หรือ CPG
ซึ่งอาจจะเป็นของสถาบันเอง หรืออ้างอิงของต่างประเทศ เช่น NCCN
Guideline

ที่สำคัญที่สุดคือ
เมื่อฟังแพทย์หลายท่านที่เรียนมาจากสถาบันที่ต่างกัน หรือแม้แต่สถาบันเดียวกัน
แต่ต่างเวลากัน ก็อาจจะมีแนวทางการรักษาที่ต่างกันก็ได้ เพราะการรักษาโรคมะเร็งนั้นมีการพัฒนาตลอดเวลา นอกจากนี้รายงานผลการรักษาของทุกวิธีการรักษานั้นจะบอกอัตราการตอบสนอง
อัตราการอยู่รอด เช่น การรักษามะเร็งชนิดหนึ่งด้วยยา
A
ให้ผลตอบสนอง 80 % ไม่ได้หมายความว่าหายจากโรค
เพราะเป็นเพียงการตอบสนองเท่านั้น แต่ถ้าจะมุ่งประเด็นการหายและสามารถมีชีวิตยืนยาว
เราจะดูที่ตัวเลขอัตราการอยู่รอด เช่น อัตราการอยู่รอดที่
5 ปี เท่ากับ 70 % หมายความว่าผู้ป่วย 100
คนจะอยู่รอดได้ถึง 5 ปี 70
คน แต่ก็ไม่แน่ว่าเราจะอยู่ใน
70 หรือ ใน 30 ที่เหลือ
ในทางกลับกัน ในกรณีที่โรคเราอยู่ในระยะที่ 4 ซึ่งมีอัตราการอยู่รอดที่
5 ปี เพียง 10 % แต่บังเอิญเราอยู่ในกลุ่ม 10
% เราก็จะมีโอกาสมีชีวิตอยู่รอดได้
ทำไมเป็นเช่นนั้น
คำตอบคือ เรายังไม่รู้เรื่องมะเร็งอีกมาก
แม้เป็นในตำแหน่งเดียวกัน ระยะเดียวกัน แต่ในรายละเอียดของเซลล์มะเร็งนั้น
ยังมีสิ่งที่เราไม่ทราบอีกมาก
โดยเฉพาะในระดับชีวโมเลกุลที่ผลต่อการตอบสนองต่อการรักษา
ดังนั้น การรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบัน จึงเกิดการรักษาที่เรียกว่าการรักษาเชิงวิจัย
ซึ่งคนไทยไม่นิยม
ทั้งนี้ด้วยความรู้สึกที่ว่า วิจัย คือ การทดลอง และความรู้สึกของการทดลอง
คล้ายกับหนูทดลองยา จึงเกิดความกังวล

แต่ในบางโรคที่พบจำนวนผู้ป่วยน้อย และไม่อาจจะรวบรวมผู้ป่วยจำนวนมากพอที่จะเปรียบเทียบกับการรักษามาตรฐานได้
ก็สามารถให้การรักษาไปเลย และเปรียบเทียบกับผลการรักษาในอดีต แต่ในกรณีที่ความน่าจะมีประโยชน์ค่อนข้างชัดเจนและการเปรียบเทียบที่ต้องใช้ผลการติดตามเป็นระยะเวลา
5-10 ปี ก็จะอนุโลมเป็นมาตรฐานที่ควรใช้เลย เช่น เครื่องการฉายรังสี ที่มีความแม่นยำสูงในปัจจุบัน
เมื่อเทียบกับเครื่องมือในอดีต
การรักษาเสริมที่นำมาประกอบการรักษามาตรฐานที่มีอยู่ และมีรายงานการศึกษาในระดับที่
1 และ 2 ที่แสดงถึงความปลอดภัยแล้ว ก็สามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มผลประโยชน์
ให้กับผู้ป่วยได้ แน่นอนที่สุด สิ่งเหล่านี้จะต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์
มีผู้ป่วยหลายท่าน ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า หากสิ่งที่นำมารักษาเสริมนั้นไม่เป็นอันตราย และมีความน่าจะเป็น แม้ยังไม่มีรายงานการศึกษาในระดับ 3 คือ การเปรียบเทียบกับการรักษาในอดีต เขาก็ยินดีเลือกใช้ เพราะแม้แต่สมุนไพร ที่มีรายงานการศึกษาน้อยกว่า
หรือบางอย่างไม่มีหลักการเลย เขาก็ยังเลือกทำทุกวิถีทาง และถ้ารอการศึกษาออกมาว่ามีประโยชน์
เขาอาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
ดังนั้นอย่ากลัวการรักษาเชิงวิจัย เพราะเราเชื่อว่า
การรักษาเชิงวิจัย หรือ การเติมการตรวจวินิจฉัย การรักษาบางอย่าง น่าจะเป็นการรักษาที่เหนือมาตรฐาน
และนำไปสู่การเป็นวิธีรักษามาตรฐานในอนาคต
ที่สำคัญที่สุดของการรักษาเชิงวิจัยนี้
บุคลากรทางการแพทย์ต้องมีความชัดเจนถึงการรักษาผลประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นที่ตั้ง
ร่วมกับผู้ป่วยในการตัดสินใจ เปิดเผยข้อมูล และรายงานผลการรักษาอย่างชัดเจน
เพื่อประโยชน์ต่อวงการแพทย์ และผู้ป่วยในอนาคต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น