โดยทั่วไป เวลาที่เราจะรักษาโรค เรามักจะคำนึงถึงมาตรฐานการรักษา
ว่าได้มาตรฐานหรือไม่
แน่นอนที่เราจะไม่เลือกการรักษาที่ต่ำกว่ามาตรฐาน โรงพยาบาลหรือสถาบันทางการแพทย์แต่ละแห่งควรมีสิ่งที่เรียกว่า
Clinical
Practice Guideline หรือ CPG
ซึ่งอาจจะเป็นของสถาบันเอง หรืออ้างอิงของต่างประเทศ เช่น NCCN
Guideline
แต่ปัญหาในการรักษาโรคมะเร็งนั้น มีมาตรฐานมากมายที่จะอ้างอิง
บางครั้งอาจจะทำให้ผู้ป่วยสับสน
มีตัวอย่างของแพทย์ท่านหนึ่งเป็นคนที่มีความรู้มาก อ่านรายงานการศึกษาวิจัยมากมาย สามารถวิเคราะห์สถิติความน่าเชื่อถือของรายงานต่างๆได้ดีเยี่ยม เป็นที่ศรัทธาของลูกศิษย์ที่เรียนกับท่าน ท่านจะอธิบายแนวทางการรักษาพร้อมทั้งข้อดีข้อด้อย
ของแต่ละรายงานให้ผู้ป่วยฟังอย่างละเอียด มีอยู่ครั้งหนึ่ง
เมื่อผู้ป่วยได้ฟังคำอธิบายจบ คนไข้ ก็ถามแพทย์ท่านนั้นว่า
ตกลง หมอจะรักษาผมอย่างไร เพราะดูเหมือนหมอยังไม่มีข้อสรุป นี่คือความสับสนสำหรับคนไข้ที่รับฟังข้อมูลอ้างอิงมากๆ
ทั้งที่เป็นเจตนาดีของแพทย์ผู้ซึ่งพร้อมจะสละเวลาให้ความรู้กับทุกคน
ที่สำคัญที่สุดคือ
เมื่อฟังแพทย์หลายท่านที่เรียนมาจากสถาบันที่ต่างกัน หรือแม้แต่สถาบันเดียวกัน
แต่ต่างเวลากัน ก็อาจจะมีแนวทางการรักษาที่ต่างกันก็ได้ เพราะการรักษาโรคมะเร็งนั้นมีการพัฒนาตลอดเวลา นอกจากนี้รายงานผลการรักษาของทุกวิธีการรักษานั้นจะบอกอัตราการตอบสนอง
อัตราการอยู่รอด เช่น การรักษามะเร็งชนิดหนึ่งด้วยยา
A
ให้ผลตอบสนอง 80 % ไม่ได้หมายความว่าหายจากโรค
เพราะเป็นเพียงการตอบสนองเท่านั้น แต่ถ้าจะมุ่งประเด็นการหายและสามารถมีชีวิตยืนยาว
เราจะดูที่ตัวเลขอัตราการอยู่รอด เช่น อัตราการอยู่รอดที่
5 ปี เท่ากับ 70 % หมายความว่าผู้ป่วย 100
คนจะอยู่รอดได้ถึง 5 ปี 70
คน แต่ก็ไม่แน่ว่าเราจะอยู่ใน
70 หรือ ใน 30 ที่เหลือ
ในทางกลับกัน ในกรณีที่โรคเราอยู่ในระยะที่ 4 ซึ่งมีอัตราการอยู่รอดที่
5 ปี เพียง 10 % แต่บังเอิญเราอยู่ในกลุ่ม 10
% เราก็จะมีโอกาสมีชีวิตอยู่รอดได้
ทำไมเป็นเช่นนั้น
คำตอบคือ เรายังไม่รู้เรื่องมะเร็งอีกมาก
แม้เป็นในตำแหน่งเดียวกัน ระยะเดียวกัน แต่ในรายละเอียดของเซลล์มะเร็งนั้น
ยังมีสิ่งที่เราไม่ทราบอีกมาก
โดยเฉพาะในระดับชีวโมเลกุลที่ผลต่อการตอบสนองต่อการรักษา
ดังนั้น การรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบัน จึงเกิดการรักษาที่เรียกว่าการรักษาเชิงวิจัย
ซึ่งคนไทยไม่นิยม
ทั้งนี้ด้วยความรู้สึกที่ว่า วิจัย คือ การทดลอง และความรู้สึกของการทดลอง
คล้ายกับหนูทดลองยา จึงเกิดความกังวล
ทั้งๆที่แท้จริงแล้ว ในสถาบันที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ
เช่น MD
Anderson ในอเมริกาที่เรารู้จักกันดี
ก็จะมีการรักษาเชิงวิจัยในแทบทุกโรค ผู้ป่วยของเขามีโอกาสได้รับการรักษาที่นำหน้าคนโดยทั่วไป โดยมีกฎหรือพื้นฐานที่จะควบคุมทุกการวิจัยว่าการรักษาทุกอย่างที่แพทย์จะใช้นั้น ต้องคาดว่าได้ผลการรักษาอย่างน้อยต้องไม่ด้อยกว่าการรักษาเดิม และการเติมการรักษาใด
จะต้องไม่เพิ่มภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย ทั้งนี้เพราะในกระบวนการรักษาในเชิงวิจัย จะมีลำดับการทดลองตั้งแต่ระดับความปลอดภัยของยาหรือวิธีการรักษา
เป็นระดับที่ 1 ต่อด้วยระดับที่
2 ซึ่งดูผลที่คาดว่าจะตอบสนองอย่างไร ต่อมาจึงจะเป็นระดับของการเปรียบเทียบกับการรักษามาตรฐานในระดับที่
3
แต่ในบางโรคที่พบจำนวนผู้ป่วยน้อย และไม่อาจจะรวบรวมผู้ป่วยจำนวนมากพอที่จะเปรียบเทียบกับการรักษามาตรฐานได้
ก็สามารถให้การรักษาไปเลย และเปรียบเทียบกับผลการรักษาในอดีต แต่ในกรณีที่ความน่าจะมีประโยชน์ค่อนข้างชัดเจนและการเปรียบเทียบที่ต้องใช้ผลการติดตามเป็นระยะเวลา
5-10 ปี ก็จะอนุโลมเป็นมาตรฐานที่ควรใช้เลย เช่น เครื่องการฉายรังสี ที่มีความแม่นยำสูงในปัจจุบัน
เมื่อเทียบกับเครื่องมือในอดีต
การรักษาเสริมที่นำมาประกอบการรักษามาตรฐานที่มีอยู่ และมีรายงานการศึกษาในระดับที่
1 และ 2 ที่แสดงถึงความปลอดภัยแล้ว ก็สามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มผลประโยชน์
ให้กับผู้ป่วยได้ แน่นอนที่สุด สิ่งเหล่านี้จะต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์
มีผู้ป่วยหลายท่าน ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า หากสิ่งที่นำมารักษาเสริมนั้นไม่เป็นอันตราย และมีความน่าจะเป็น แม้ยังไม่มีรายงานการศึกษาในระดับ 3 คือ การเปรียบเทียบกับการรักษาในอดีต เขาก็ยินดีเลือกใช้ เพราะแม้แต่สมุนไพร ที่มีรายงานการศึกษาน้อยกว่า
หรือบางอย่างไม่มีหลักการเลย เขาก็ยังเลือกทำทุกวิถีทาง และถ้ารอการศึกษาออกมาว่ามีประโยชน์
เขาอาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
ดังนั้นอย่ากลัวการรักษาเชิงวิจัย เพราะเราเชื่อว่า
การรักษาเชิงวิจัย หรือ การเติมการตรวจวินิจฉัย การรักษาบางอย่าง น่าจะเป็นการรักษาที่เหนือมาตรฐาน
และนำไปสู่การเป็นวิธีรักษามาตรฐานในอนาคต
ที่สำคัญที่สุดของการรักษาเชิงวิจัยนี้
บุคลากรทางการแพทย์ต้องมีความชัดเจนถึงการรักษาผลประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นที่ตั้ง
ร่วมกับผู้ป่วยในการตัดสินใจ เปิดเผยข้อมูล และรายงานผลการรักษาอย่างชัดเจน
เพื่อประโยชน์ต่อวงการแพทย์ และผู้ป่วยในอนาคต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น