วันนี้
พบทีมสู้มะเร็งทีมหนึ่งที่น่าสนใจและเป็นตัวอย่างที่ดีของทีมสู้มะเร็งที่เดียว ความจริงอายุคุณป้ามากกว่าผมไม่เท่าไร
แต่เธอเรียกตัวเองว่าป้าน้อย ผมก็เลยขออนุญาตเรียกว่าป้าน้อย ไม่ถือว่าเปิดเผยความลับผู้ป่วยนะครับ
เพราะคนชื่อป้าน้อยมีเยอะ ที่สำคัญคุณป้าน้อยคนนี้ก็เป็น พรีเซ็นเตอร์
เรื่องผู้ที่เอาชนะมะเร็งมาก่อน
คุณป้าน้อยมากับลูกสาว
หนึ่งในทีมที่สำคัญมาก เพราะ เริ่มต้น เธอก็เตรียมการเพื่ออธิบายประวัติการรักษาของแม่เธอจากโรงพยาบาลเดิม
เธอกล่าวว่าเธอจะเป็นผู้ที่รู้ดี เพราะจะเป็นเพื่อนไปกับคุณแม่ทุกครั้ง
เริ่มจากครั้งแรกไปโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ได้รับคำบอกจากแพทย์ว่าเป็นมะเร็งระยะแพร่กระจาย
คงมีความหวังน้อย เธอบอกว่าเหมือนสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาที่ศีรษะ มึนเลย ทำอะไรไม่ถูก กินไม่ได้
ตอนนั้นเธออยู่ระหว่างลดความอ้วน ก็เลยผอมลง หุ่นดีขึ้นทันตา โดยไม่ต้องทำอะไร
หลังจาก
3 วัน
ของการนอนที่โรงพยาบาล เธอไม่ได้พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาให้การอธิบายเลย เธอจึงตัดสินใจเปลี่ยนโรงพยาบาล ครั้งนี้กำลังใจมีมากขึ้น
เพราะแพทย์บอกว่าไม่ต้องอยู่โรงพยาบาล ค่อยๆแก้ปัญหา โดยการตรวจวิเคราะห์ใหม่
โชคดีในความโชคร้าย เป็นคำพูดของลูกสาวป้าน้อย เพราะมะเร็งที่กระจายนั้นเป็นมาจากต่อมธัยรอยด์ ด้วยความเข้มแข็งของคุณป้าน้อยที่พร้อมรับการรักษาตามคำแนะนำของหมอ คุณป้าน้อยจึงมีชีวิตยืนยาวมา กว่า 7 ปี อย่างคนที่มีความสุข สุขภาพดี ทั้งๆที่ระหว่างการรักษา จะมีการผ่าตัดและดื่มน้ำแร่เป็นระยะ
ตามที่มีตัวโรคเกิดขึ้นตามกระดูกต่างๆ
ในครั้งแรก ทางครอบครัวขอให้ป้าน้อย หยุดงาน
แต่ป้าน้อยไม่ยอม เพราะถ้าหยุดงาน คงเฉาตาย ในที่สุด ป้าน้อย จึงทำงานอย่างมีความสุขมาจนถึงปัจจุบัน
ป้าน้อยเล่าอย่างภูมิใจว่า แถวบ้าน มักจะพูดกันเสมอ ไหนว่าเป็นมะเร็งแล้วต้องตาย ดูป้าน้อยซิ
ยังอยู่สบายดีเลย ป้าน้อยบอกเพื่อนบ้านว่าว่า
จะไปกลัวทำไม มะเร็ง มันไม่ตายหรอก เพราะอย่างเก่ง มะเร็ง ก็ได้แต่ เล็ง
มันไม่ยิงหรอก มันเล็งเฉยๆ ไม่ยิงก็ไม่ตาย
แค่นั้นไม่พอ
ป้าน้อย ยังเป็นนักการทูตอีก เพราะเจรจาต่อรองกับมะเร็งที่กระจายที่กระดูกว่า แกต้องอยู่ดีๆนะ
ถ้าแกเกเร ฉันตายไป แกก็อยู่ไม่ได้
เหลือเชื่อครับ
สำหรับคนป่วยและญาติที่คิดในแง่บวก
พูดคุยได้สนุกสนานอย่างนี้
เราใช้เวลาไปเกือบ 1 ชั่วโมง มาถึงบทสรุป ตัดสินใจเลือกการรักษา ลูกสาวป้าน้อยบอกว่า ตกลงหนูกับแม่เข้าใจดี
ขอให้หมอตัดสินใจเลือกเลยว่าจะใช้วิธีไหนก็ได้ โดยให้คิดว่าคุณแม่เป็นญาติหมอ
ผมยืนยันว่า เราทุกคนดูแลผู้ป่วยดุจญาติพี่น้องอยู่แล้ว
แต่ความสำคัญคือ ทุกคนในทีม
ซึ่งหมายรวมถึงตัวผู้ป่วยและครอบครัวต้องเข้าใจกัน คุณลูกสาวจึงบอกว่าเธอทราบดีและจะทำหน้าที่กลับไปสรุปให้พี่น้องที่บ้าน
ได้รับทราบและเข้าใจในสิ่งที่หมออธิบาย ซึ่งทุกครั้งที่ผ่านมา
เธอก็ทำหน้าที่นี้ตลอด
สุดยอดไปเลยครับทั้งคุณป้าน้อยและลูกสาว
เป็นมะเร็งมาแล้ว 7-8
ปี มีคุณภาพชีวิตและกำลังใจที่ดี
เรียกว่าเดินมาโรงพยาบาลเหมือนมาเที่ยวห้าง นั่งคุยปรึกษาวางแผนการรักษา
เหมือนวางแผนซื้อทัวร์ ทั้งๆที่คุณป้าน้อยเป็นมะเร็งที่กระจายที่กระดูก แม้ในใจของคนหลายคนจะเถียงว่าในใจของเขาก็ต้องมีกังวล
ผมคิดว่าคงใช่ครับ ไม่ว่าทำอะไรก็มีความกังวลทั้งนั้น แม้แต่การจะไปเที่ยว
เราก็ต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม และเดินหน้าไปด้วยความไม่ประมาท
มีความสุขมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เอาตัวอย่างป้าน้อยและลูกสาวนะครับ
อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด เราเป็นทีมเดียวกันที่จะหาความสุขให้ได้มากที่สุด
เหมือนดังที่ลูกสาวกล่าวในตอนสุดท้ายว่า หมอ ไม่ต้องห่วง เราเข้าใจดี ขจัดโรคให้หมดสิ้นได้ ก็เป็นโชค แม้ไม่ได้หมด
แม่จะสู้ไม่ท้อ ขอเพียงแม่มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ไม่มีการเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ก็พอแล้ว
ทีมป้าน้อยท่านรู้จักวิธีทำใจให้อยู่เหนือทุกข์ จึง มีความสุข
ทุกข์เบาบาง เป็นตัวอย่างที่ดี
ผมหวังว่าทีมผู้ป่วยและครอบครัวท่านอื่นๆก็โชคดีเช่นกันครับ
อยากรู้จักป้าน้อยตัวจริงจังค่ะน่าชมเชยมากเลยนะคะ
ตอบลบ