วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2558

การตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง (Cancer Screening)


ภาพประกอบจาก: https://www.sharecare.com

โดยทั่วไป คนเราจะไปหาหมอ เมื่อมีอาการเจ็บปวด ไม่ว่าทางกาย หรือทางใจ  ซึ่งทางแพทย์มักจะบันทึกหรือเรียกว่า อาการสำคัญที่นำมาพบแพทย์ 

ส่วนการตรวจคัดกรองนั้น จะเป็นการค้นหาโรค ในผู้ที่ยังไม่มีอาการของโรค ในที่นี้ เราจะพูดจำเพาะโรคมะเร็ง โดยมีเป้าหมาย เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต และ เจ็บป่วยจากโรคมะเร็ง  

จะมีคนกลุ่มหนึ่งไม่นิยมตรวจ ด้วยยังรู้สึกไม่ถึงเวลา หรือ เพราะความกลัวล่วงหน้าว่าจะตรวจพบว่าเป็นอะไร ขอให้มีอาการทนไม่ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

อีกกลุ่มหนึ่งคือ คนที่กลัวมะเร็งมาก และตรวจทุกอย่าง ด้วยเครื่องมือทุกชนิด จนเกินความจำเป็น  แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือ  ผลบวกลวง ซึ่งนำไปสู่การการตรวจเพิ่มเติม ไม่ว่า การส่องกล้อง หรือการผ่าตัด เสียเงิน เสียทอง โดยไม่จำเป็น (ผลบวกลวง หมายถึง การตรวจที่พบค่าผิดปกติ หรือ ภาพที่ผิดปกติ แต่ไม่ได้เป็นมะเร็ง ซึ่ง โดยธรรมชาติของทุกการตรวจ จะเป็น เช่นนี้  ยังไม่มีการตรวจใด ที่จำเพาะหรือถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์)

โรคมะเร็ง เป็นโรคที่น่ากลัวในความคิดของคนส่วนใหญ่ แต่หลายชนิดสามารถรักษาให้หายขาดได้        การตรวจคัดกรองจะเป็นประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะ ในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยง ปัจจุบัน เป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับว่ามีความสำคัญมากเป็นอันดับต้นๆ ที่จะช่วยป้องกันการเกิดโรค ดังจะเห็นได้จากประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ทวีปยุโรปและอเมริกา   ที่อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งลดลง
    
ปัจจุบัน การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งต่างๆ สามารถพบตั้งแต่ปัจจัย หรือ การก่อตัวที่ผิดปกติของเซลล์  ก่อนที่จะเป็นเซลล์มะเร็ง  แม้แต่ประเทศไทยเอง ไม่ว่ามะเร็งเต้านม หรือ มะเร็งปากมดลูก   ก็มีสถิติการพบในระยะเริ่มแรกและรักษาหายขาดมากขึ้นในบทนี้ จึงนำการตรวจคัดกรองที่มีผลนัยสำคัญชัดเจน ว่าสามารถลดอัตราตาย จากการคัดกรองในประชากรปกติ ซึ่งอาจจะแตกต่างไป ตามสถิติและการอ้างอิง  โดยเฉพาะภูมิประเทศ และวัฒนธรรมในแต่ละประเทศ ดังนั้น ตัวเลขอายุ ความถี่และระดับความจำเพาะอาจจะแตกต่างกัน

การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งที่เห็นประโยชน์ได้ชัดเจนคือ. การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก  การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งเต้านม   และการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ 

1. การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก
ปัจจัยสำคัญ คือความเสี่ยง ที่จะเป็นตัวกำหนดเวลาสมควรตรวจ เช่น มีเพศสัมพันธ์อายุน้อย มีการติดเชื้อบ่อย ตกขาวมากผิดปกติ มีบุตรมาก สูบบุหรี่   ดังนั้นถ้าไม่ความเสี่ยงใดๆ ก็อาจจะตรวจได้ที่อายุ 30 ปี แต่หากมีข้อบ่งชี้ดังกล่าว ก็ควรตรวจก่อน   ในบางประเทศ เริ่มตรวจคัดกรองในผู้หญิงปกติทุกคน ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไปหรือที่ 3 ปีหลังมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก   ส่วนการติดตามความถี่ ก็จะขึ้นอยู่กับผลการตรวจ อย่างในประเทศไทย ก็เคยใช้นโยบายการตรวจทุก  3 ปีในผู้ที่ผลการตรวจปกติเป็นต้น
ที่สำคัญ คือ ผู้ที่ฉีดวัคซีนป้องกัน ก็ต้องตรวจนะครับ (อ่านได้ในบทเรื่อง HPV ใน Blog นี้ ครับ)

2. การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งเต้านม
การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งเต้านมมี 3 วิธีสำคัญ ซึ่งผู้รับการตรวจควรต้องปฏิบัติทั้ง 3 วิธี ดังนี้

2.1   การตรวจเต้านมด้วยตนเอง   สามารถเริ่มที่อายุ  18- 20  ปี และควรตรวจสม่ำเสมอต่อเนื่อง เพราะทำได้ง่ายด้วยตนเอง (อ่านเพิ่มเติมในบทการตรวจเต้านมด้วยตนเอง)

2.2    การตรวจเต้านมโดยแพทย์ วิธีการตรวจคล้ายกับการตรวจเต้านมด้วยตนเอง ในประเทศไทยเรา   มักจะเป็นพบแพทย์เมื่อสงสัย แต่ในบางประเทศที่มีอัตราการเกิดโรคมะเร็งเต้านมสูง ก็จะพบแพทย์ เพื่อตรวจร่างกาย เมื่ออายุ 20 - 39 ปี หากปกติและไม่มีอาการใดๆก็สามารถตรวจทุก 3 ปี  แต่หากเกิดรู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติควรพบแพทย์ก่อนเวลานัด   

เมื่ออายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปควรพบแพทย์ตรวจคลำเต้านมทุกปีโดยเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจสุขภาพประจำปี

2.3 การตรวจภาพรังสีเต้านม (Mammogram) เป็นการตรวจภาพเต้านมด้วยเครื่องเอกซเรย์เทคนิคเฉพาะเต้านม

อายุที่เหมาะสมนั้นแตกต่างกันไป โดยเป็นช่วง 40-50 ปี  สำหรับคนปกติทั่วไป ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม และติดตามทุก 3 ปีแต่ในกลุ่มเสี่ยง เช่นมีประวัติครอบครัว มีอาการเจ็บ หรือ เคยตรวจพบสิ่งผิดปกติ ให้อยู่ขึ้นกับคำแนะนำของแพทย์

ภาพประกอบจาก: https://www.sharecare.com

3. การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
สมาคมโรคมะเร็งแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาแนะนำให้บุคคลทั่วไปทั้งผู้หญิงและผู้ชายควรตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เริ่มตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป หลังจากนั้นอาจตรวจทุก 3 ปี เมื่อผลตรวจครั้งแรกปกติ แต่ทั้งนี้ขึ้นกับคำแนะนำของแพทย์  ซึ่งจะดูตามประวัติและปัจจัยเสี่ยง

ขอย้ำอีกครั้งนะครับ ที่กล่าวมานี้ เป็นระดับประชากร แต่การตรวจคัดกรองอื่นๆยังคงเป็นมาตรฐานที่ใช้ได้เฉพาะบุคคล  เช่น การตรวจระดับ PSA ในชายสูงวัย  การตรวจ Low dose CT ในประชากรที่สูบบุหรี่จัด เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า การตรวจคัดกรองมะเร็ง เริ่มเปลี่ยนมิติจากข้อแนะนำหรือ ข้อปฏิบัติทั่วไป เข้าสู่ยุคของการคัดกรองจำเพาะบุคคล ที่ใช้ประวัติ ส่วนตัว เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ประวัติการติดเชื้อ และประวัติครอบครัว ประเพณี วัฒนธรรม เพื่อเพิ่มความแม่นยำ และตรวจเท่าที่จำเป็น  ซึ่งในอนาคต ก็จะมีการตรวจที่ลึกลงไปเพื่อระดับชีวโมเลกุลที่สามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงได้ชัดเจนมากขึ้นครับ

ท่านผู้อ่านครับ  ความจริงในวันนี้ คือ มะเร็งไม่น่ากลัวอย่างที่คิด  ยังมีสิทธิ์คิดป้องกันและรักษา
เพียงท่านใส่ใจดูแลตนเองในเบื้องต้นตามคำแนะนำด้านความรู้เกี่ยวกับมะเร็ง ท่านก็จะปลอดภัยจากโรคมะเร็งครับ

กดอ่านบทความต่างๆที่ผ่านมา โดยเฉพาะการตรวจมะเร็งด้วยตนเองในบล็อกเพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้นนะครับ


วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558

อีกครั้งสำหรับเรื่องการรักษาโรคมะเร็งด้วยการฝั่งแร่


เดิมผมคิดว่าจะไม่เขียนเรื่องไอโอดีน หรือ การฝังแร่ที่มีข่าวในขณะนี้ แต่มีคำแนะนำจากเพื่อนๆ ให้ลงเรื่องนี้ให้เป็นประโยชน์    

ผมจึงขอเรียนอย่างนี้นะครับว่า ผมได้เขียนเรื่องนี้มาแล้ว ตั้งแต่วันที่  6  พย. 2557 เรื่องอันตรายและข้อควรปฎิบัติ เมื่อได้รับการรักษาด้วยการฝังแร่ ซึ่งในหลายโรงพยาบาลก็จะมีหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับรังสี ที่ดูแลอยู่ เมื่อมีผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการฝั่งแร่มาตรวจรักษา แต่ประเด็นอยู่ที่เราไม่ทราบประวัติมาก่อน และผู้ป่วยเองก็ไม่ทราบถึงอันตรายของอันตรายของแร่ที่มีอยู่ในตัวเอง

ส่วนเรื่องผลการรักษา ที่ผมไม่เขียนนั้น  เพราะการฝังแร่เป็นวิธีการรักษาชนิดหนึ่งที่ใช้ได้ในหลายโรค   ดังนั้น การรักษานั้น จะถูกต้องหรือไม่ เป็นความรับผิดชอบของแพทย์ ร่วมตัดสินใจกับผู้ป่วย และแน่นอนที่สุด คือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่จะตรวจสอบ เมื่อมีความผิดปกติขึ้น

การรักษาทุกชนิดล้วนแล้วแต่มีข้อดีและข้อเสีย การปฎิบัติให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ และเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องยึดถือ  และต้องรับผิดชอบผลกระทบต่อผู้ป่วย และสังคม หากท่านมีข้อสงสัย โปรดหาความเห็นที่สอง ดังที่ผมเคยแนะนำไว้ใน blog นี้  จะเป็นประโยชน์ต่อท่านและครอบครัวครับ

สำหรับท่านที่ทำไปแล้ว ไม่ต้องกังวลหรือเสียใจนะครับ อาจจะเป็นผลดีก็ได้ โปรดปรึกษาแพทย์ที่ท่านรักษาอยู่ ที่สำคัญ คือ แร่ จะสลายตัวไป เมื่อเวลาผ่านไปครับ ไม่ได้น่ารังเกียจแต่ประการใดครับ หาก เราดูแลอย่างถูกต้อง


ขอย้ำอีกครั้งนะครับ  ปรึกษากันให้รอบคอบก่อนการรักษา  ศึกษาข้อบ่งชี้ในการฝังแร่ให้ชัดเจนนะครับ เพราะถ้าเป็นมะเร็งปากมดลูก และใส่แร่อิริเดียม เป็นข้อบ่งชี้ที่ถูกต้องนะครับ  สิ่งที่เป็นประเด็นในเวลานี้ คือ แร่ ไอโอดีน ชนิดฝังนะครับ ส่วนที่กินเพื่อรักษามะเร็งหรือโรคธัยรอยด์ ก็ยังเป็นมาตรฐานนะครับ

ที่มา: สมาคมรังสีรักษาและมะเร็งวิทยาแห่งประเทศไทย

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558

การใช้ Hyperthermia เพื่อเพิ่มผลการรักษาโรคมะเร็ง (ตอนที่ 2)

ต่อจากครั้งที่แล้วในรายงานจากการสัมนา ของสังคมรังสีมะเร็งวิทยา ในเรื่อง  Hyperthermia หรือ การใช้ความร้อนเพื่อช่วยรักษามะเร็ง   โดยวิทยากรอีกท่านคือ นายแพทย์ภูมิพิศ    ภัทรนุธาพร   แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีมะเร็งวิทยา คณะแพทยศาตร์รามาธิบดี ได้กล่าวเสริมถึงผลของการใช้ Hyperthermia ในการรักษามะเร็งว่ามีการวิจัยหลายรายงานที่แสดงประโยชน์ชัดเจน ในการใช้ร่วมกับการฉายแสง กล่าวคือ Hyperthermia ช่วยให้การตอบสนอง ต่อการฉายแสง ทำให้ก้อนมะเร็ง บางชนิด ยุบลงได้ดีมากขึ้น  และมีโอกาสหาย มากกว่าการฉายแสงอย่างเดียว เช่น มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งศีรษะและลำคอ แต่ Hyperthermia ไม่ใช่การรักษาหลัก หรือจะทดแทนการรักษาหลักได้       
ดังนั้จึงมักจะเลือกใช้ในรายที่การรักษาหลักอาจไม่สามารถทำให้ก้อนมะเร็งยุบได้ดีพอ  เนื่องจากระยะของโรค หรือขนาดของก้อนมะเร็ง        
ในการบรรยายได้ยกตัวอย่างผู้ป่วยที่น่าสนใจ คือ ผู้ป่วยหญิง อายุ 42 ปี ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น มะเร็งมดลูกระยะ  ซึ่งเป็นระยะลุกลามได้รับการรักษาหลักด้วยการผ่าตัด  เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2012 หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยปฏิเสธ การรับยาเคมีบำบัด โดยตัดสินใไปรับการรักษาแพทย์ ทางเลือก

1 ปี ต่อมา ผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ พบต่อมน้ำเหลือง Paraaortic ด้านซ้ายขนาด 5.5 x 3.8 ซม.  คราวนี้ผู้ป่วยยอมรับยาเคมีบำบัดมาตรฐาน  สูตร Carbo/taxol  จำนวน 6 ครั้ง แต่โรคไม่ตอบสนองต่อยา และพบว่า ก้อนมีขนาดใหญ่ขึ้น และลุกลามไปที่กระดูกระดับ สันหลังที่ระดับ L2-3 ต้องใช้มอร์ฟีน เพื่อการระงับปวด และปรึกษาเพื่อการใช้ Hyperthermia ซึ่งเมื่อเอกซเรย์ก่อนการรักษา ก้อนมีขนาดใหญ่และลุกลามจนมากดท่อไต   จนเกิดภาวะไตบวม อย่างมาก ตามภาพที่ 1

ภาพที่ 1
 
ผู้ป่วยได้รับการวางแผนการฉายรังสีเฉพาะที่  ดังแสดงในภาพที่ 2 

ภาพที่ 2
ทั้งนี้ผู้ป่วยได้รับความร้อน หรือ Hyperthermia ร่วมด้วย สัปดาห์ละครั้งที่อุณหภูมิจากการวางแผนที่ 43 องศา

ผลการรักษา  : ไม่มีภาวะแทรกซ้อนในระดับที่ 3-4 มีเพียงอาการปวดขณะที่ได้รับความร้อนเท่านั้น   ซึ่งผู้ป่วยได้รับการรักษาครบตามแผนการรักษา โดยสามารถลดยาแก้ปวดและมอร์ฟีน ได้ในสัปดาห์ที่ 2 และหยุดยาแก้ปวดเมื่อครบการรักษา

หนึ่งเดือนต่อมา ผู้ป่วมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่มีอาการปวดอีก กินอาหารได้ดี เมื่อเอกซเรย์ คอมพิวเตอร์อีกครั้ง พบว่าก้อนมีขนาดลดลงอย่างมาก ภาวะการอุดตันของไตหายไปดังภาพที่  3

ภาพที่ 3

ตัวอย่างนี้ จะเห็นได้ชัดเจนถึงประโยชน์ของการใช้ความร้อนร่วมรักษา 
อย่างไรก็ตาม โรคมะเร็งมีเรื่องที่เราไม่รู้อีกมาก ไม่ว่าการรักษาใดก็ตาม ที่ได้ผลในคนหนึ่ง แต่อาจ ไม่ได้ผลในอีกคนหนึ่งก็เป็นได้  ท่านผู้ป่วยและญาติโปรด อย่าลืมปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้นะครับ