ครั้งหนึ่งในโรงพยาบาลเอกชนที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย
มีผู้ป่วยมาเข้ารับการตรวจรักษาจำนวนมาก เนื่องด้วยความแตกต่างของเทคโนโลยีการบริการของรัฐกับเอกชน
แม่ลูกสอง
มาตรวจที่ตึกผู้ป่วยนอก หลังจากการตรวจวินิจฉัย 3-4 ครั้งผ่านไป
ก็ได้รับการวินิจฉัยที่ชัดเจนว่า เป็นเนื้องอกในสมอง
ในการรักษาให้ได้ผลดีและปลอดภัย มีความจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่มีราคาแพง
แพทย์ผู้รักษา
จึงเชิญลูกสาวทั้ง 2 คน มาอธิบายฟิลม์
และวางแผนการรักษา ตลอดเวลา ทั้ง
2คนผลัดกันถาม เพื่อให้แน่ใจแนวทางในการรักษาแม่ของตัวเองให้ดีที่สุด
แต่น่าแปลก ที่ยิ่งอธิบายถึงผลที่ดีชัดเจน สีหน้าของทั้ง 2 คน
ก็เริ่มส่อแววกังวลมากขึ้น เมื่ออธิบายเสร็จ หมอ ก็รอคำตอบ คราวนี้ทั้ง 2 คน
ก็เริ่มตาแดง จับมือกัน แล้ว ร้องไห้
หมออึ้ง
สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะได้อธิบายแนวทางการรักษาที่ดีและมีความหวังให้แล้ว หนึ่งในสองของลูกสาวผู้ป่วย
ส่งคำถามด้วยความท้อแท้ว่า
"หมอค่ะ มีวิธีอื่นหรือไม่ค่ะ เพราะก่อนหมอมา
หนูได้คุยกับคุณพยาบาลและถามเจ้าหน้าที่เรื่องค่าใช้จ่ายแล้วค่ะ มันแพงเหลือเกิน”
เราจะทำอย่างไร
จึงจะช่วยให้คนไทยเข้าถึงการรักษาได้อย่างทั่วถึง
แม้เราจะยอมรับว่าโรงพยาบาลเอกชนมีความจำเป็นต้องมีการแข่งขันด้านการบริการ
มีความสะดวกสบาย ราคาย่อมจะแพงกว่า
คนทั่วไปที่มีข้อจำกัดในเรื่องงบประมาณ จำเป็นต้องอดทนไปรอคิวรับการตรวจรักษา
ท่ามกลางความแออัด ของโรงพยาบาลรัฐ
เขาเหล่านั้น
ยอมรับได้ในการตรวจ วินิจฉัยหรือรักษาที่อาจจะเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนมากกว่า
แต่เทคโนโลยีบางอย่างที่เป็นมาตรฐาน
เราจะทำอย่างไร จึงจะเปิดบริการให้คุ้มค่า เพียงพอกับความต้องการของประชาชน
ผู้กำหนดนโยบาย
และผู้บริหารจะวางนโยบายอย่างไร
จึงจะใช้งบประมาณที่มีอยู่ของประเทศให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด
เราทราบดีว่า มะเร็งเป็นโรคที่เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่ง
เป็นโรคที่ทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ทุกข์ที่แฝงอยู่หลังตัวโรค
มันเจ็บปวดยิ่งกว่ามะเร็ง เมื่อพบว่ามีโอกาสรักษาแต่เข้าไม่ถึงการรักษานั้น
เราไม่อยากให้เกิดคำพูด
ความรู้สึก เหมือนลูกสาว 2 คน นี้
ที่ต้องก้องอยู่ในโสตประสาทตลอดเวลา
"หนูบาปหรือไม่ค่ะ
หนูเป็นคนเลวหรือเปล่า ที่ไม่สามารถรักษาแม่ได้ เพราะมันแพงเหลือเกิน"
เรามาช่วยกันเยียวยาญาติกันเถอะครับ
เพราะในชีวิตจริง ความเจ็บปวด ความกังวลของญาติ บางครั้งไม่น้อยกว่าคนที่ป่วยเป็นมะเร็งเลยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น