วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ภูมิคุ้มกันบำบัดในโรคมะเร็ง ( Cancer Immunotherapy )

ภาพประกอบจาก: http://news.sciencemag.org/
ระยะนี้เราจะได้ยินเรื่องการรักษาโรคมะเร็งด้วยระบบภูมิคุ้มกันหรือที่เรียกว่า อิมมูโนเทอร์ราปี (Immunotherapy) มากขึ้น การรักษาผ่านระบบภูมิคุ้มกันนั้นเป็นเรื่องธรรมดาในหลายๆโรค โดยเฉพาะเรื่องการติดเชื้อ หรือโรคภูมิแพ้ ทั้งนี้มีหลักการที่ว่าเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ระบบภูมิต้านทานของร่างกายจะถูกกระตุ้น ให้เซลล์ภูมิต้านทาน (Cellular Immune System) ทำงานเพื่อกำจัดเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมนั้น  หรือคำที่เราได้ยินคุ้นเคยดี คือคำว่า วัคซีน  ซึ่งปัจจุบันได้พัฒนามากว่าเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อในโรคมะเร็งก็จะอาศัยหลักการเดียวกัน  เมื่อเซลล์มะเร็งซึ่งเป็นเซลล์ผิดปกติที่เกิดขึ้นในร่างกายเรา ร่างกายก็จะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่มีความจำเพาะกับเซลล์มะเร็ง ทำให้ร่างกายมีความสามารถที่จะกำจัดหรือควบคุมเซลล์มะเร็งได้

ระบบนี้จะมีความแตกต่างจากการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด  คือ  ยาเคมีบำบัดจะทำลายเซลล์ที่มีการแบ่งตัว ซึ่งจะเป็นการจำเพาะในช่วงใดช่วงหนึ่งของวงจรชีวิตของการแบ่งตัวของเซลล์ เป็นการนำสารเคมีจากภายนอกร่างกายเข้าไปทำลายเซลล์ที่มีการแบ่งตัวภายในร่างกาย จึงเป็นเหตุให้มีการทำลายเซลล์ปกติด้วย แต่ระบบภูมิคุ้มกันนั้น จะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายผ่านกระบวนสร้างภูมิต้านทานที่มีความจำเพาะกับเซลล์มะเร็งนั้นๆ ที่เราเรียกสิ่งแปลกปลอมนั้นว่าแอนติเจน เช่น การทดลองนำระบบภูมิคุ้มกัน   Monoclonal Antibody  ที่จำเพาะกับแอนติเจนของเซลล์มะเร็ง อันเป็นหลักการของวัคซีน  โดยในเบื้องต้นมักใช้ร่วมกับ การรักษาหลัก  เช่น การผ่าตัด การฉายแสง การให้ยาเคมีบำบัด ด้วยวัตถุประสงค์ในการกำจัดเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่หลังการรักษาหลักให้หมด โดยเฉพาะการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด หากผู้ป่วยรับการรักษาโรคมะเร็งด้วยยาเคมีบำบัดอย่างเดียว  อาจไม่สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ทั้งหมด เซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่จำนวนน้อยๆก็จะถูกกำจัดด้วยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถหายขาดจากโรคมะเร็งได้  

ดังนั้น  ภูมิคุ้มกันบำบัดในโรคมะเร็ง หรือ Cancer Immunotherapy  จึงหมายถึง การรักษาโรคมะเร็งด้วยการกระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ให้ได้รวดเร็ว จำเพาะต่อแอนติเจนของมะเร็ง และมากเพียงพอที่จะสามารถยับยั้งการกำเริบและการแพร่กระจายของมะเร็ง อีกทั้งไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์ปกติในร่างกายของมนุษย์  เป็นการรักษาที่เพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยมะเร็งหายหรือมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเรา สามารถแบ่งหรือทำงานผ่านระบบต่างๆ ที่เข้าใจได้ง่ายๆ เป็น 3 ทาง

1. ผ่านระบบเซลล์ภูมิคุ้มกัน  หรือที่เรียกว่า Cell-based therapies โดยเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันจะถูกกระตุ้นให้ต่อสู้กับโรคมะเร็งที่เรารู้จักในชื่อ Natural killer cells, Lymphokine-Activated Killer Cells, Cytotoxic T-cell และ Dendritic Cells โดยเซลล์เหล่านี้จะพบในเลือดของผู้ป่วย ซึ่งในบางวิธีการรักษา จะนำไปเลี้ยงให้เจริญเติบโต  จนจำนวนมากพอ แล้วฉีดกลับเข้าตัวผู้ป่วย ซึ่งเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยในการกำจัดเซลล์มะเร็งได้

2. ผ่านระบบแอนติบอดี้  หรือ Antibody Therapies นั้น เกิดขึ้นโดยร่างกายสร้างสารที่มีความจำเพาะกับแอนติเจน ที่เข้ามากระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เมื่อแอนตีบอดี้ทำปฏิกิริยากับแอนติเจนนั้น ๆ    จะทำให้แอนติเจนหมดฤทธิ์ หรือก่อให้เกิดการทำลายของแอนติเจนนั้น
ปัจจุบันวิธีนี้เป็นที่ยอมรับและใช้กันมาก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยาที่เราเรียกว่ายามุ่งเป้า หรือ Targeted Therapy ตัวอย่าง แอนติบอดี้ที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งศีรษะลำคอ มะเร็งลำไส้ใหญ่ ประกอบด้วยยา Bevacizumab, Cetuximab, Trastuzumab เป็นต้น

3. ผ่านระบบไซโตไคน์  หรือ Cytokine Therapies ซึ่งเป็นโปรตีนที่เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันสังเคราะห์ขึ้น และหลั่งออกมา   มีหน้าที่ในหลายด้านตามแต่ชนิด และมีชื่อต่างๆกัน ตามกลไกที่ไซโตไคน์ทำงาน   กลุ่มนี้ที่รู้จักกันดีในชื่อ Tumor Necrotic Factor,  Interleukin  เป็นต้น เพื่อแบ่งเป็นกลุ่มๆเช่น ตัวอย่างของ Cytokines   ที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งได้แก่  Interferon-α ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง Follicular  หรือ  Interleukin-2 ถูกนำมาใช้ในการรักษามะเร็งเซลล์ไต  เป็นต้น

เนื้อหาในบทนี้ค่อนข้างยาก เพราะเป็นเรื่องใหม่ ผมได้พยายามเขียนให้อ่านง่ายที่สุด ให้พอคุ้นหูว่ามีการรักษาด้วยวิธีนี้ เป็นพื้นฐานเพื่อนำไปปรึกษาแพทย์ผู้รักษาของท่าน เพื่อความกระจ่าง โดยเฉพาะผลการรักษาที่ยังไม่แน่นอนในขณะนี้ เพราะมีปัจจัยตัวแปรมากมายที่จะพยากรณ์ผลของการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดในโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตามนับเป็นความหวังที่ดีอันหนึ่งทั้งในปัจจุบันและอนาคต  หากมีผู้รู้ที่อยากจะเพิ่มเติม ก็ขอความกรุณาร่วมกันให้ความกระจ่างกับผู้อ่านด้วยนะครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น