วันนี้ ผมขออนุญาต
ออกนอกกรอบวิชาการ เนื่องจากในระยะนี้ ข่าวในวงการ สาธารณสุขที่กล่าวถึงกันมากและมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับประชาชน
ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องค่ารักษาของโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งเป็นเรื่องเก่าที่เกิดมาหลายระลอก
แต่คราวนี้ ดูเหมือนว่า จะเป็นยุคแห่งความหวัง แพทย์กลุ่มหนึ่งได้พูดคุยกัน
จึงเป็นที่มาของการรวบรวมความคิดเห็น ที่ไม่มีคำว่าถูกหรือผิด
เพียงแต่นำเสนอในอีกมุมหนึ่ง ที่อาจจะเหมือนหรือแตกต่าง ด้วยความเข้าใจ และกังวลใจ
เราไม่ปฏิเสธว่า ค่ารักษาโรงพยาบาลเอกชนแพงกว่ารัฐบาล และบางแห่งแพงจนน่ากลัวว่าจะตายจากหนี้ มากกว่าตายจากโรค และก็ไม่ปฏิเสธว่าบางคนแม้ไม่ได้รวย
แถมมีสิทธิเบิกราชการ แต่บางครั้งก็ยอมเสียเงินไปเอกชน เพราะคิดและคาดหวังการบริการที่เร็วกว่า
ดีกว่า
เราได้แต่คาดหวังว่าวันหนึ่ง โรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในหลายๆด้านให้ดีขึ้น เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีรายได้จำกัด อีกทั้งแก้ปัญหาผู้ป่วยฉุกเฉินที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนด้วยความจำเป็นและจำยอม
ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะเข้าใจและพยายามเข้ามาแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ โดยเริ่มจากเรื่องฉุกเฉิน เพียงแต่ในความเป็นจริงของการรับส่งต่อเพื่อการรักษาต่อเนื่อง ยังไม่สามารถทำได้ตามที่วางแผนไว้ หลายครั้งในการติดต่อโรงพยาบาลรัฐเพื่อการส่งต่อ มักจะได้คำตอบที่คล้ายกัน คือ เตียงเต็ม ทุกอย่างเต็มไปด้วยความยากลำบากที่ญาติต้องรอแล้วรออีก จนต้องตัดสินใจกู้หนี้มารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน
โรงพยาบาลเอกชน บางแห่งทำได้ดีครับ
มีความมุ่งหวังที่จะช่วยเติบเต็มให้การบริการสาธารณสุขดีขึ้น
แต่โรงพยาบาลเอกชนบางแห่ง ก็ควรถูกตำหนิ
ที่สร้างราคา ด้วยการสร้างแบรนด์ จากความสามารถนำหน้าด้านเทคโนโลยี เพราะความพร้อมในการระดมเงินลงทุนได้รวดเร็วกว่า
ทั้งจ้างแพทย์ที่เก่งด้วยเงินเดือนและผลตอบแทนสูง สร้างความรู้สึกให้ประชาชนรับรู้ว่า ถ้าเจ็บป่วยและอยากหายต้องโรงพยาบาลเอกชนที่มีทั้งเครื่องมือและหมอที่ดีราคาแพง คล้ายกับการกินอาหารในร้านหรูราคาแพง นด้านตรงข้าม การสั่งน้ำเปล่า จะถูกมองว่าขี้เหนียว ต้องน้ำปั่น หรือ
กาแฟที่แพงกว่าก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งเสียอีก
แน่นอนครับ ไม่เลือกกินอาหารหรูก็ไม่มีใครบังคับและไม่ตาย เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะเลือกสรรสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง จึงไม่ค่อยมีคนสนใจที่จะเรียกร้องรัฐบาล
แต่เรื่องป่วยไข้ ไม่รักษาโดยทันท่วงที อาจตายครับ
ความจำเป็นที่ต้องรีบเข้าโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านที่สะดวก ผู้ป่วยอาจจะรอด แต่ญาติผู้ออกค่ารักษาอาจตายผ่อนส่ง จากการแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงอย่างคาดไม่ถึง เรียกว่าไม่ตายจากโรค แต่ตายจากหนี้ครับ
การเรียกร้องของประชาชน
จึงเป็นสิ่งที่ชอบ
แต่การออกมาตรการ
บางอย่าง อาจจะเป็นปัญหาส่งผลกระทบในระยะยาว
เราควรทำความกระจ่างให้เกิดขึ้น ในทุกปัญหา
ทั้งการบริการของรัฐ การสร้างความเข้าใจเรื่องความเหมาะสม ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ
การเปรียบเทียบราคาค่ารักษาไม่น่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องทั้งหมด เราลองคิดถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้นะครับ
โรงพยาบาลเอกชนเกิดขึ้นจากอะไร
แน่นอนที่สุด คือ ความต้องการที่มาจากความไม่เพียงพอ
หรือความรู้สึกไม่ดีพอ หากโรงพยาบาลเอกชนทั้งหมด
ปิดตัวลง การบริการในภาครัฐจะเป็นอย่างไร
รองรับได้เพียงพอหรือไม่ หากรัฐซื้อโรงพยาบาลเอกชนทั้งหมด
มาบริการแบบรัฐในปัจจุบัน คิดค่ารักษาแบบรัฐในปัจจุบัน
จะต้องอุดหนุนงบประมาณอีกปีละเท่าไร ทั้งเงินลงทุน และเงินเดือน
ผมจึงอยากให้พวกเราทำความเข้าใจและเดินหน้าใน 2 ส่วน คือ คุณภาพทางการแพทย์ และคุณภาพในการบริการ เพื่อสร้างความสมดุลและเหมาะสมในการบรรลุเป้าหมายเดียวกัน
คือ ทุกคนสุขภาพดีถ้วนหน้า
โดยให้ลองคิดถึงการขึ้นเครื่องบิน ไม่ว่าจะนั่งชั้นไหน ก็ถึงที่หมายด้วยกัน และถ้าเครื่องบินตกก็ตายด้วยกัน
นั่นคือ คุณภาพทางการบิน หรือ ทางการแพทย์
แต่คนมีเงินจะนั่งชั้นหนึ่ง เพื่อความสะดวกสบาย หรือ อาหารดูดีกว่า ดูแลอย่างดี ตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่อง ให้ขึ้นเครื่องก่อนและดูแลทุกนาทีตลอดการเดินทาง ก็อย่าไปว่าเขาเลย ปล่อยเขาไป ให้บริษัทการบินมีกำไรพออยู่ได้ อย่างน้อย เราก็ยังสามารถเดินทางได้
เราหันมาดูแลผู้โดยสารชั้นประหยัดให้ไปถึงที่หมาย อย่างมีความสุขดีกว่าการไปบังคับให้เขาคิดค่าโดยสารเท่ากัน ด้วยบริการที่ต่างกัน ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่หากลดการบริการลงมา
ก็คงพัฒนา หรือ แข็งขันกับคนอื่นไม่ได้
โรคมะเร็งที่ถูกขนานนามว่า
โรค High
Cost หรือโรคค่าใช้จ่ายสูง ยังต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐเป็นอย่างมาก อยากให้รัฐตั้งศูนย์กลางรังสีขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ต้องใช้งบประมาณสูง
และบุคลากรจำเพาะให้เกิดการใช้ร่วมกัน ทั้งนี้เนื่องจากการกระจายศูนย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่เพียงพอต่อความต้องการ
และเรายังขาดแคลนบุคลากรอีกมาก จะเห็นได้จากคิวการรักษาด้วยรังสีโดยเฉลี่ยยังยาวเป็นเดือน ซึ่งเรื่องนี้ผมเสนอตั้งแต่ปี 2536 ซึ่งสมัยนั้น ยังไม่มีการฉายรังสีในโรงพยาบาลเอกชน
เช่นทุกวันนี้ ปัจจุบันโรงพยาบาลเอกชนก็ยังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในเครื่องมือที่มีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
จนจะนำหน้าภาครัฐในอนาคต แล้ววันหนึ่งก็จะเป็นประเด็นเดียวกัน คือ
ค่ารักษาโรงพยาบาลเอกชนแพง จนผู้มีรายได้จำกัดเข้าไม่ถึง
ดังนั้นเราควรที่จะทำความกระจ่าง
ในทุกเรื่อง ทั้งการบริการของรัฐ และค่าบริการของเอกชน ที่มีความเชื่อมโยงกัน ก่อนการคิดออกมาตรการที่บางครั้งอาจจะเป็นปัญหาในระยะยาว
เช่น การประกาศราคายา สิทธิการซื้อยานอกโรงพยาบาล
จริงอยู่ราคาถูกกว่า แต่ ท่านต้องไม่ลืมเรื่องความเสี่ยงที่อาจจะมี ทั้งเรื่อง เภสัชกร
มาตรฐานการเก็บรักษายา การนำยามาใช้ในโรงพยาบาล เช่น วัคซีน เป็นต้น ดังนั้น
จึงต้องปรึกษากันให้ละเอียดในมาตรการนี้
เราควรพูดคุยกันบนพื้นฐานของความเป็นจริง หาทางแก้อื่นๆที่มีผู้รู้หลายท่านเสนอ เช่น เรื่อง การประเมินค่ารักษาอย่างเหมาะสมเป็นธรรม
และมีคุณธรรม หรือ มาตรการ co-pay หรือการร่วมจ่าย ในกรณีที่เอกชน
จะคิดค่าบริการด้านคุณภาพทางการแพทย์ที่เท่ากับรัฐ เบิกจ่ายจากรัฐ และผู้ใช้บริการร่วมจ่ายในสิ่งที่พอใจ เช่น
ค่าห้อง ค่าความรวดเร็ว สะดวกสบาย เป็นต้น ไม่ใช่ให้แยกประกันสังคม หรือ 30 บาท นั่งรอ ใช้รายการยาที่แตกต่างกัน ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ประชาชนอาจจะรู้สึกได้ว่าไม่แพงเกินไป และเกิดความรู้สึกเท่าเทียมกันและเข้าใจมากขึ้น ขณะเดียวรัฐก็จะควบคุมค่าใช้จ่ายเรื่องสุขภาพของประชาชนได้ดีขึ้น
ประการสุดท้าย หมอดี
หมอเก่ง รวมทั้งบุคลากรสาธารณสุขอื่นๆ ยังมีอีกมากครับ ดูแลให้เขาอยู่ได้อย่างสมฐานะ อย่าได้ต้องอุทิศตนให้โรงพยาบาลเอกชน
แต่อย่าให้เขาอุทิศชีวิตให้ราชการโดยลูกเมียต้องลำบาก เกินไป แตกต่างกันเกินไปในสังคมปัจจุบัน
ที่ต่างกันมากๆ หาดูกันได้ไม่ยาก คือ กลุ่มแพทย์ ที่เงินเดือนหลวงทั้งปี
เท่ากับรายได้ในเอกชน 1 เดือน ครับ
อย่าไปคุมเอกชนเลยครับ แก้แนวทางของรัฐให้ดี เหมาะสมและเพียงพอกับความต้องการ ผมเชื่อว่า น้อยคนจะไปซื้อของแพงในของที่เหมือนกันครับ ผมคนหนึ่งล่ะครับที่ภาวะปกติจะไม่ไปโรงพยาบาลเอกชน แต่มีไว้ใกล้บ้านก็ดี
จำเป็นเมื่อไร ก็อาจต้องใช้ รักษาชีวิตไว้ก่อน ความถูกต้องและความเหมาะสมจะเป็นมาตรการที่สร้างความสมดุลของสังคมครับ การออกกฎบังคับ เป็นมาตรการชั่วคราว ที่ท้ายสุด
ก็จะมีการเลี่ยงกฎ และท้ายที่สุด Supply ของรัฐ ไม่พอ Supply ลักษณะเช่นนี้
ก็จะคงอยู่ต่อไป ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งที่พัฒนาไปครับ
เป็นโรค
ก็แย่พอแล้ว อย่าเป็นหนี้ เพราะเป็นโรคอีกเลยครับ
จริงค่ะ เป็นโรคก็แย่แล้ว อย่าเป็นหนี้กันทั้งผู้ป่วย ญาติ เพราะโรคอีก เลย คงทุกข์มากๆ
ตอบลบ