การรักษามะเร็งด้วย Insulin Potentiation Therapy
เนื่องจากการรักษาโรคมะเร็ง ยังมีความหลากหลายในวิธีการ การทดลองยังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
ความเชื่อของบุคลากรทางการแพทย์ที่แตกต่างกัน การนำเสนอข้อมูลเพื่อความหวังใหม่ให้ผู้ป่วยมีอัตราอยู่รอดและชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการและหรือเพื่อผลประโยชน์อื่นๆ เมื่อมีผู้สนใจถามเรื่องการใช้วิธี Insulin Potentiation Therapy จึงเป็นเหตุให้ผู้เขียนพยายามหาข้อเท็จจริง ซึ่งแต่ละข้อมูลจะมีทั้งความจริงที่พิสูจน์และยืนยันแล้ว หรือ ยังไม่พิสูจน์ชัดเจน ทั้งนี้ผู้อ่านควรพิจารณา และปรึกษาแพทย์ของท่านด้วย
IPT (Insulin Potentiation Therapy) คือ อะไร ?
IPT
ในด้านการรักษาโรคมะเร็ง คือ การใช้
Insulin ร่วมกับยาเคมีบำบัดที่น้อยลง ซึ่งมาจากแนวคิด ของความนุ่มนวลในการให้เคมีบำบัด
โดยลดผลแทรกซ้อน จนถึงไม่มีภาวะแทรกซ้อน
จึงมีการพยายามลดปริมาณยาเคมีบำบัด จนถึงระดับ 1/ 10 ของปริมาณมาตรฐาน แต่เพิ่มผลการรักษาโดยการใช้อินซูลินซึ่งลดระดับน้ำตาล ด้วยความคิดที่อินซูลินทำให้
เซลล์มะเร็งเปิดช่องทางหรือตัวรับยาเข้าสู่เซลล์ ความคิดนี้เริ่มใช้ใน Mexico โดย Dr. Donato Perez Garcia, Sr
และถ่ายทอดมาจนกระทั่ง
Dr. Steven G. Ayre ในอเมริกาเริ่มตีพิมพ์บทความและหนังสือ จนเป็นที่มาในคลินิคแพทย์ทางเลือก
วิธีการรักษา
ผู้ป่วยจะต้องงดน้ำงดอาหาร 6-9 ชั่วโมง และได้รับน้ำเกลือชนิดมีกลูโคส
พร้อมกับการฉีดอินซูลินตามน้ำหนักตัว ต่อด้วยยาเคมีบำบัด ในช่วงระยะไม่กี่นาที
ซึ่งเขาเรียกว่า "Therapeutic Moment" ซึ่งเป็นช่วงน้ำตาลในร่างกายต่ำ
ณ จุดนี้อาจเป็นอันตรายได้มาก เพราะ การตอบสนองต่อ อินซูลินของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน
ภาวะ Hypoglycemia หรือน้ำตาลต่ำจะเกิดขึ้น
เมื่อเริ่มมีอาการน้ำเกลือที่มีน้ำตาลก็จะถูกปล่อยเข้าสู่ร่างกาย
เพื่อรักษาระดับน้ำตาล ต่อจากนั้นผู้ป่วยจะดื่มน้ำและรับประทานอาหารได้ การรักษามักจะเป็นสัปดาห์ละ 2
ครั้ง ทั้งหมดประมาณ 12- 18 ครั้ง
โดยปรับระดับอินซูลินจากการได้รับครั้งแรก
แม้จะมีรายงานผลเฉพาะรายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีรายงานที่มีนัยสำคัญเพียงพอที่จะแสดงว่า IPT ปลอดภัย
และได้ผลดีในการรักษามะเร็ง ในทางตรงข้ามอาจจะมีผลข้างเคียงที่รุนแรงด้วย
เช่น มีรายงานหนึ่งจากประเทศอุรุกวัย รายงานผู้ป่วยมะเร็งเต้านม 30 รายที่ดื้อต่อการรักษามาตรฐาน แบ่งเป็น 3 กลุ่มที่ได้ยา อินซูลิน เปรียบเทียบ
กับ อินซูลิน + ยา และยา Methotrexate
อย่างเดียว
พบเพียงว่าในกลุ่มที่ได้ยาร่วมกับ อินซูลิน จะควบคุมโรคได้ดีกว่า โดยก้อนจะโตขึ้นเพียงเล็กน้อย
เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น แต่ไม่มีรายงานเรื่องอัตราการอยู่รอด หรือคุณภาพชีวิต
แม้จะมีรายงานอื่นๆ แต่ก็จะเป็นในลักษณะเดียวกัน
ที่ขาดการติดตามที่เพียงพอเพื่อแสดงผลที่ชัดเจน ที่จะตีพิมพ์ได้ในวารสารมาตรฐาน
ภาวะแทรกซ้อน
ด้วยเหตุที่การตอบสนองต่ออินซูลินที่จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงแตกต่างในแต่ละบุคคล หากผลระดับน้ำตาลต่ำมากเกินไป อาจเกิดอันตรายต่อชีวิตได้ และหากภาวะน้ำตาลต่ำนานเกินไป ผู้ป่วยเบาหวาน
หรือ ผู้ที่ได้รับยากลุ่ม Beta-Blocker เช่น Atenolol (Tenormin) and Metoprolol (Lopressor) อาจจะบดบังให้ไม่เห็นอาการของน้ำตาลต่ำ เช่น อาการใจสั่น เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องระวังในกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก
นอกจากนั้น บางคนอาจจะมีความดันต่ำ
หายใจลำบาก ผื่น คัน ได้
ดังนั้นจึงต้องระวังผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้จึงมีบทความ Why You
Should Stay Away from Insulin
Potentiation Therapy ซึ่งเรียบเรียงโดย Robert Baratz, M.D., D.D.S., Ph.D.เขียนแสดงความขัดแย้งเอาไว้ครับ
แหล่งข้อมูล www.cancer.org/treatment โดย American Cancer Society
และ www.quackwatch.org/01QuackeryRelatedTopics/Cancer/ipt.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น