วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

รังสีโปรตอนในการรักษาโรคมะเร็ง

สัปดาห์นี้ มีผู้ป่วยท่านหนึ่ง มาขอคำปรึกษาเรื่องการไปรักษาที่ประเทศญี่ปุ่น โดยผู้ป่วยมีประวัติเป็นมะเร็งโพรงหลังจมูก ได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีเมื่อ 10  ปีก่อน แต่ครั้งนี้ตรวจพบก้อนที่โพรงหลังจมูกอีก โชคดีมากที่แพทย์ไม่ฉายรังสีซ้ำ เพราะลักษณะก้อนที่เกิดขึ้น ไม่เหมือนก้อนที่เยื่อบุ จึงได้รับการผ่าตัด ด้วยประสาทศัลยแพทย์ และแพทย์ทางโสต ศอ นาสิก ผลทางพยาธิวิทยา พบว่าเป็นมะเร็งของเนื้อเยื่อ แต่เนื่องจากเป็นที่โพรงหลังจมูกที่เป็นส่วนฐานกะโหลกศีรษะ ซึ่งมีข้อจำกัดในการผ่าตัดมากทีเดียว จึงมีส่วนของเนื้องอกที่เหลืออยู่จำเป็นต้องวางแผนที่จะฉายรังสี

ประเด็นอยู่ที่ว่า แม้การฉายรังสีได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ตั้งแต่การใช้แร่เรเดียม รังสีโคบอลต์ และเครื่องเร่งอนุภาค (Linear Accelerator) โดยมีการพัฒนาเทคนิคการฉายรังสีแบบต่างๆ ทั้ง 3 มิติ และ 4 มิติ ที่เรียกว่า 3-Dimensional Conformal Radiotherapy (3D CRT), Intensity Modulated Radiotherapy (IMRT), Image-Guided Radiotherapy (IGRT) และ 4-Dimensional Conformal Radiotherapy (4D CRT) รวมทั้งเทคนิคการผ่าตัดด้วยรังสีที่เรียกว่า Radiosurgery

ด้วยความก้าวหน้าเหล่านี้ ได้เพิ่มอัตราการอยู่รอดและลดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาอย่างชัดเจน    แต่ทั้งหมด เป็นการใช้รังสี โฟตอน (Photon) เป็นหลัก โดยเครื่องกำเนิดรังสีที่เรียกว่าเครื่องเร่งอนุภาค (Linac) ซึ่งยังมีข้อจำกัดในการรักษามะเร็งในหลายตำแหน่ง จึงได้มีการพัฒนานำรังสีโปรตอนที่มีความทันสมัยและประสิทธิภาพสูงเข้ามาใช้ในการรักษา แต่เพราะปัญหาเครื่องมือ  ราคาสูงและยังไม่มีการติดตั้งในประเทศไทย 

รังสีโปรตอน มีข้อดีเหนือกว่า รังสีโฟตอน อย่างไร

รังสีโปรตอนเป็นรังสีชนิดอนุภาค มีข้อดีเหนือกว่ารังสีโฟตอน ซึ่งเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คือ รังสีโฟตอนจะให้ปริมาณรังสีสูงสุดบริเวณใกล้ผิว และค่อยๆลดลงตามความลึกที่รังสีเคลื่อนที่ผ่าน แต่รังสีชนิดโปรตอนจะปล่อยพลังงานทั้งหมดที่ความลึกหนึ่งห่างจากผิว เรียกคุณสมบัติดังกล่าวว่า “Bragg Peak” ทำให้ที่ความลึกนั้นได้ปริมาณรังสีสูงสุด หลังจากนั้นปริมาณรังสีจะลดลงอย่างรวดเร็วจนเป็นศูนย์      ดังนั้นปริมาณรังสีบริเวณทางเข้าจะได้รับรังสีน้อยกว่า และส่วนที่อยู่ต่อจากก้อนเนื้อนอกจะได้รับรังสีน้อยกว่าการฉายด้วยรังสีโฟตอนเช่นกัน  

ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว รังสีโปรตอนจะปล่อยพลังงานโดยตรงให้ก้อนมะเร็ง (Tumor) แล้วหยุดทันที   ดังภาพ


ภาพแสดง ส่วนตรงกลางเป็นเนื้องอกที่มีสีชมพู อยู่ในช่วง 20 ซม.จากผิว แนวลำรังสีสีเขียวคือ รังสีโฟตอน ลำสีฟ้าเป็นของโปรตอน จะเห็นได้ว่า ตรงระดับผิวที่ระดับศูนย์ ปริมาณรังสีของโฟตอนซึ่งเป็นสีเขียวจะสูงกว่าสีฟ้ามาก และส่วนต่อจากก้อนเนื้องอกสีชมพู ก็จะยังมีสีเขียวของรังสีโฟตอนอยู่ แต่จะไม่มีรังสีจากการฉายโปรตอน หรือสีฟ้าอีก   

จากภาพแสดงการกระจายของรังสีโฟตอน (สีเขียว) กับการกระจายของรังสีโปรตอน (สีฟ้า) นำไปสู่ความสามารถเพิ่มปริมาณรังสีที่ก้อนมะเร็ง และลดปริมาณรังสีที่อวัยวะข้างเคียงได้ การรักษาด้วยรังสีโปรตอนจึงมีประโยชน์ในการเพิ่มโอกาสการหายขาดของโรคมะเร็ง ลดผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยรังสีและลดโอกาสการเกิดมะเร็งชนิดทุติยภูมิ โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็ก ที่เกิดจากปริมาณรังสีจำนวนน้อยในอวัยวะปกติ ดังตัวอย่างในการฉายรังสีจริง


  
ภาพแสดงการกระจายตัวปริมาณรังสีในบริเวณศีรษะและลำคอของเทคนิคการฉายรังสีปรับความเข้มจากการฉายรังสีโฟตอน (บน) และโปรตอน (ล่าง) จะเห็นได้ว่าปริมาณรังสีของโฟตอนจะโดนอวัยวะต่างๆในบริเวณที่มากกว่า
                        
ขณะนี้มีการเพิ่มขึ้นของการให้บริการการรักษาด้วยรังสีโปรตอนอย่างรวดเร็ว ในปี ค.ศ. 2000 มีศูนย์ที่บริการการรักษาด้วยรังสีโปรตอนเพียง 19 ศูนย์ เพิ่มขึ้นเป็น 39 ศูนย์ในปี 2012 และเพิ่มเป็นอย่างน้อย 52 ศูนย์ในปี ค.ศ. 2015

อย่างไรก็ตามประโยชน์ทางคลินิกของรังสีโปรตอน ก็มีข้อบ่งชี้ ชัดเจนในบางโรคเท่านั้น เช่น มะเร็งฐานกะโหลกศีรษะ มะเร็งเด็ก มะเร็งศีรษะและลำคอเป็นต้น   
                    
ดังนั้นท่านควรปรึกษาแพทย์ที่รักษาท่านก่อนว่าควรที่จะใช้รังสีชนิดไหนในการรักษาโรคของท่าน ทั้งนี้เพราะด้วยเครื่องมือที่มีอยู่ในปัจจุบัน ก็สามารถครอบคลุมการรักษาได้หมด แต่รังสีโปรตอนจะมีข้อดีกว่าในกลุ่มที่มีข้อบ่งชี้จำเพาะประมาณร้อยละ 10 ของผู้ป่วยทั้งหมดเท่านั้น   
                    
อย่างเช่นในผู้ป่วยรายนี้ ซึ่งผมสนับสนุนให้เขาไปรักษาด้วยรังสีโปรตอนที่ประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นมะเร็งที่ดื้อต่อรังสี และเป็นการฉายรังสี ซ้ำ ซึ่งมีข้อจำกัดในการให้ปริมาณรังสีสูง ประกอบกับเป็นเนื้องอกในตำแหน่งฐานกะโหลกศีรษะ ซึ่งเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนสูง และแน่นอนที่สุด ต้องรับกับราคาที่สูงของเทคนิคนี้ได้
                  
ผมหวังว่าในอนาคต ด้วยความชัดเจนของการศึกษาวิจัย ด้วยเครื่องมือที่ถูกลง ประกอบการพัฒนาเทคโนโลยีที่ง่ายต่อการใช้มากขึ้น เราคงได้เห็นโปรตอนในประเทศไทย เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีชั้นสูงในการรักษาโรคของประชาชนคนไทยทุกระดับครับ

        


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น