การรักษาโรคที่พวกเราคุ้นเคยกันดี
คือ การรักษาทางยา (Medicine) และการผ่าตัด (Surgery) พอแพทย์อธิบาย ผู้ป่วยก็จะเข้าใจ
และสามารถปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง แต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องการฉายรังสี (Radiation) ทุกคนก็จะเริ่มไม่แน่ใจ
ว่า การรักษาจะเป็นอย่างไร ทำอย่างไร เจ็บปวดหรือไม่ ประกอบกับความรู้สึกเดิมที่เคยเห็นมา
ในผู้ป่วยที่ฉายรังสี จะมีผิวหนังคล้ำ ดำ บางรายอาจจะเป็นแผลถลอก หรือ
บางรายอาจจะผมร่วง ทำให้ผู้ป่วยสับสน
และมักจะถอยไปหนึ่งก้าวเพื่อตั้งหลักก่อนรับการรักษา
ในรอบ
5 ปี ที่ผ่านมา วงการแพทย์ไทยได้มีการยกระดับการรักษาทั่วประเทศ
โดยเฉพาะเรื่องรังสีมะเร็งวิทยาได้มีการพัฒนาจนทำให้มีเครื่องมือการรักษากระจายสู่ภูมิภาคอย่างรวดเร็ว
และมีความก้าวหน้ามากขึ้น ด้วยการเปลี่ยนจากการฉายรังสี
ด้วยเครื่องโคบอลท์ และการฉายรังสี 2 มิติ เป็นการฉายรังสี 3 มิติ ทั้งนี้เครื่องฉายรังสีแบบเดิม ยังคงมีบทบาทของการใช้ที่มีข้อดีอีกมากในบางกลุ่ม หรือ
บางมุมของการบริหารจัดการเครื่องมือ
แต่วันนี้ เราจะก้าวข้ามมาเรื่องรังสี 3 มิติ ซึ่งได้มีการพิสูจน์แล้วว่า
มีผลการรักษาที่ดี เพิ่มอัตราการอยู่รอด และลดภาวะแทรกซ้อน ในหลายโรค หลายตำแหน่ง
ทำให้มีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจน และในปัจจุบันได้รับการอนุมัติให้เบิกค่ารักษาได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีวัตถุประสงค์ของการรักษา
เพื่อเป็นการรักษาให้หายขาด ยกตัวอย่างเช่น
การฉายรังสีเพื่อรักษามะเร็งเต้านม โดยเฉพาะเต้านมทางด้านซ้าย ที่สามารถลดปริมาณรังสีที่มีต่อปอดและหัวใจได้อย่างชัดเจน
การฉายรังสี
2 มิติ ในอดีต ส่วนใหญ่จะเป็นการเข้าของลำรังสีในด้านตรงข้าม เช่น หน้า หลัง หรือ
ซ้าย ขวา หากมีอวัยวะสำคัญอยู่หลังต่อเป้าหมายที่เราจะให้รังสี ก็จะถูกรังสีไปด้วย
แต่ หากเป็นรังสี 3 มิติ จะมีการวางแผนโดยการทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และกำหนดแนวรังสีในทิศทางที่จะหลบอวัยวะสำคัญที่อยู่ด้านหลังของเป้าหมายได้ เครื่องวางแผนการรักษา ก็จะเป็นตัวรวมปริมาณรังสีจากแต่ละทิศทาง เพื่อให้ได้รังสีที่ครอบคลุมเป้าหมาย ด้วยที่มีความแม่นยำสูงในขั้นตอนการฉายรังสี และการจำลองลำรังสี จึงมักต้องใช้เครื่องยึดตรึงไม่ให้ขยับ
เช่นการทำหน้ากาก เพื่อยึดส่วนศีรษะและลำคอเป็นต้น
IMRT
เป็นหนึ่งในรังสี 3 มิติที่พัฒนาขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ด้วยเหตุที่ลำรังสีในอดีตที่เข้าในหลายทิศทางของรังสี
3 มิติทั่วไป จะมีความสม่ำเสมอของรังสีทั้งแนวของลำรังสี แต่หากเนื้องอกนั้นเป็นรูปกรวย
ลำรังสีของรังสี 3 มิติ จะเป็นรูปทรงกระบอก ก็จะมีส่วนที่ได้รับรังสีเกินอยู่บ้าง การกระจายของรังสีในก้อนเนื้องอกก็จะไม่สม่ำเสมอ แต่หากเป็นเทคนิค IMRT ลำรังสี ก็จะมีการกระจายที่เป็นรูปกรวย
เพราะจะมีการคำนึงถึงความหนาของเนื้องอกด้วย
ทั้งนี้ต้องอาศัยเครื่องวางแผนและเครื่องฉายรังสี ที่จะปรับปริมาณรังสีเป็นจุดๆ ตามความหนาของเนื้องอก
ด้วยเทคนิคที่กล่าวข้างต้น
ก็จะให้ความสม่ำเสมอของการกระจายของรังสีในก้อนเนื้องอก สามารถให้ปริมาณรังสีที่สูง
เพิ่มผลการรักษา โดยมีความปลอดภัยต่อเนื้อเยื่อปกติ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการรักษา เช่นในการรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก
เป็นต้น
ท่านผู้อ่านคงจะมั่นใจได้ว่าเทคนิคในการฉายรังสีในปัจจุบัน
มีความแม่นยำ ปลอดภัย และได้ผลการรักษาที่ดี
ส่วนผู้ป่วยใดจะเหมาะกับการใช้เทคนิคไหนขึ้นอยู่กับโรคที่เป็น และอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์
ดังนั้นควรปรึกษาในรายละเอียดกับแพทย์ผู้รักษานะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น