เมื่อเร็วๆนี้ บริษัท โรช ไดแอกโนสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย นายพิเชษฐพงษ์ ศรีสุวรรณกุล
กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์โทมัส ซี ไรท์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณด้านพยาธิวิทยาและเซลล์ชีววิทยา จากศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
และนายแพทย์วิสิทธิ์ สุภัครพงษ์กุล นายกสมาคมมะเร็งนรีเวชไทย
ได้ร่วมเผยถึงความก้าวหน้าล่าสุดของนวัตกรรมการตรวจมะเร็งปากมดลูกในงานแถลงข่าว “ยกระดับการตรวจมะเร็งปากมดลูกแนวใหม่”
เนื่องในโอกาสที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมวิชาการด้านพยาธิวิทยาระดับนานาชาติ
(Congress of the International Academy of Pathology) ครั้งที่ 30 ณ
โรงแรมเซนทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์
โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและพยาธิแพทย์ชั้นนำทั้งในประเทศและทั่วโลกกว่า 1,200
คนมาร่วมงาน
ความก้าวหน้าล่าสุดของนวัตกรรมการตรวจมะเร็งปากมดลูก
คือ เทสต์ตรวจโปรตีน p16/Ki-67
หรือที่เรียกว่า p16/Ki-67
biomarker test และ
เทสต์ตรวจโปรตีน p16 ในชิ้นเนื้อ หรือที่เรียกว่า p16 histology test ตัวช่วยให้การตรวจคัดกรองและวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูกทำได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
และมีความแม่นยำมากขึ้น
นายแพทย์วิสิทธิ์
สุภัครพงษ์กุล นายกสมาคมมะเร็งนรีเวชไทย กล่าวว่า “มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ
2 ในหญิงไทย จากสถิติในประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกรายใหม่ปีละ 8,184 ราย
และคร่าชีวิตผู้ป่วยเฉลี่ยปีละ 4,513 ราย เฉลี่ยแล้วมีผู้ป่วยเสียชีวิตด้วยมะเร็งปากมดลูกถึงวันละ
12.3 ราย2 ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว
มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่สามารถป้องกันและรักษาได้หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเนิ่นๆ”
สาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งปากมดลูกมาจากเชื้อไวรัส Human Papilloma Virus หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘ไวรัสเอชพีวี’ ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่มีมากกว่าร้อยสายพันธุ์ แต่มีอยู่ 14
สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงในการก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก โดยเชื้อไวรัสเอชพีวีสายพันธุ์ที่ 16 และ 18
ถือเป็นสายพันธุ์ที่อันตรายที่สุดซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกถึงร้อยละ 701
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีเชื้อไวรัสเอชพีวีอีก 12
สายพันธุ์ที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูกในผู้ป่วยอีกร้อยละ 30
ถึงแม้ว่าเชื้อไวรัสเอชพีวี จะเป็นสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งปากมดลูก แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงที่ติดเชื้อไวรัสเอชพีวีทุกคนจะกลายเป็นมะเร็งปากมดลูก
เพราะปกติร่างกายสามารถขจัดเชื้อเอชพีวีออกไปได้เอง
ในบางรายจึงเป็นการติดเชื้อชั่วคราวเท่านั้น
ดังนั้น
การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกขั้นปฐมภูมิอย่างแพปสเมียร์ควบคู่กับการตรวจหาเชื้อเอชพีวี
ดีเอ็นเอ จะสามารถระบุการติดเชื้อเอชพีวี สายพันธุ์ 16 และ 18 ได้ แต่หากผลการตรวจแพปสเมียร์ปกติ
และไม่พบการติดเชื้อเอชพีวี สายพันธุ์ 16 และ 18
แต่กลับพบการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีในกลุ่ม 12 สายพันธุ์อื่นๆ ที่มีความเสี่ยงสูง
แพทย์อาจจะวินิจฉัยว่ายังไม่ต้องเข้ารับการตรวจคอลโปสโคป
(ซึ่งเป็นการใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กทรอนิคขนาดใหญ่ เพื่อตรวจดูหาเซลล์ที่ผิดปกติบริเวณปากมดลูก)
แต่ให้กลับมาตรวจซ้ำอีกครั้งใน 1 ปีข้างหน้า
เช่นเดียวกันกับผู้ที่ผลตรวจแพปสเมียร์มีความผิดปกติเล็กน้อย
ก็จะให้รอติดตามผลและมาตรวจคัดกรองอีกครั้งในอีก 1
ปีขึ้นอยู่กับความพร้อมของโรงพยาบาล
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ
นายแพทย์โทมัส ซี ไรท์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณด้านพยาธิวิทยา และเซลล์ชีววิทยา
จากศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ประเทศสหรัฐอเมริกา อธิบายเพิ่มเติมว่า “ในระหว่างรอการกลับมาตรวจซ้ำเป็นระยะเวลา
1 ปีนั้น ผู้หญิงหลายคนอาจจะเกิดความเครียด วิตกกังวล
และในบางรายอาจทำให้การรักษาเกิดความล่าช้าได้ ดังนั้น
นวัตกรรมการตรวจคัดกรองแนวใหม่ด้วย เทสต์ตรวจโปรตีน p16/Ki-67
จะช่วยจำแนกได้ว่าผู้หญิงคนใดที่ติดเชื้อเอชพีวีหรือมีผลแพปสเมียร์ผิดปกติ
มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูก
และต้องเข้ารับการตรวจด้วยคอลโปสโคปทันทีแทนที่จะต้องรออีก 1 ปี”
เทสต์ตรวจโปรตีน
p16/Ki-67 นี้จะเป็นการตรวจหาโปรตีน p16 และ Ki-67 ไปพร้อมๆ กัน
โดยใช้ตัวอย่างเดิมจากการตรวจแพปสเมียร์ หากพบโปรตีนทั้ง 2
ตัวก็จะแปลว่าผู้หญิงคนนั้นควรได้รับการตรวจคอลโปสโคปเพิ่มเติมต่อไป
แต่หากผลการตรวจไม่พบโปรตีนทั้ง 2 ตัวพร้อมกัน
ผู้หญิงคนนั้นก็สามารถกลับเข้าสู่กระบวนการตรวจคัดกรองตามปกติได้
สำหรับผู้ที่ต้องเข้ารับการตรวจคอลโปสโคปและพบความผิดปกติ
จะต้องทำการตัดตัวอย่างชิ้นเนื้อมาวินิจฉัย (Biopsy) นวัตกรรมการตรวจที่เรียกว่า
เทสต์ตรวจโปรตีน p16 ในชิ้นเนื้อ หรือ p16 histology test เข้ามาช่วยในขั้นตอนการวินิจฉัยรอยโรค
โดยจะตรวจหาโปรตีน p16 เพียงตัวเดียว เพื่อยืนยันว่ามีหรือไม่มีรอยโรคก่อนมะเร็งที่รุนแรง
เพื่อที่จะทำการรักษาได้อย่างถูกต้องและป้องกันการรักษาเกินความจำเป็นได้
“เทสต์ตรวจโปรตีน p16
ในชิ้นเนื้อแสดงให้เห็นว่าสามารถเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคมะเร็งปากมดลูกได้
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้วิทยาลัยพยาธิแพทย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (College
of American Pathologists) และองค์การอนามัยโลก
(WHO) ได้มีคำแนะนำให้ใช้เทสต์ตรวจโปรตีน
p16 ในชิ้นเนื้อ
และเมื่อประกอบเข้ากับการใช้เทสต์ตรวจโปรตีน p16/Ki-67
เพื่อใช้ตรวจผู้หญิงที่มีผลตรวจแพปสเมียร์ผิดปกติหรือมีการติดเชื้อเอชพีวี
พยาธิแพทย์และสูตินรีแพทย์ก็จะมีเครื่องมืออันครบครันซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจวินิจฉัยและช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในกระบวนการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก”
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ
นายแพทย์โทมัส ซี ไรท์ กล่าวเสริม
ปัจจุบัน
นวัตกรรมใหม่การตรวจมะเร็งปากมดลูกของโรชทั้ง เทสต์ตรวจโปรตีน p16/Ki-67 (p16/Ki-67 biomarker test)
และเทสต์ตรวจโปรตีน p16 ในชิ้นเนื้อ (p16 histology test)
ได้รับการรับรองให้ใช้ในประเทศไทยแล้ว
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญร่วมเผยความก้าวหน้าด้านวิทยาการทางการแพทย์ในการตรวจมะเร็งปากมดลูก
แหล่งที่มา: zupziponline
หมายเหตุ
เจตนาของ
blog คือการนำข่าวที่มีนัยสำคัญ แต่ทั้งหมดอยู่ที่ดุลยพินิจของผู้อ่าน
โดยเฉพาะแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ควรศึกษาต่อในรายละเอียด เพราะในวิทยาการใหม่ๆจะมีประโยชน์
แต่ความจำเพาะหรือจะเป็นมาตรฐานนั้นต้องมีระยะเวลาและความชัดเจน
จากจำนวนการใช้และความถูกต้องแม่นยำ
มาตรฐานในปัจจุบัน
มาจากการค้นพบใหม่ๆในอดีต ในขณะเดียวกัน มาตรฐานในปัจจุบัน เมื่อเวลาผ่านไป ก็จะเป็นเพียงอดีต ทั้งนี้
เพราะความรู้ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ เหมือนกับมาตรฐานในเรื่องนี้
เมื่อสมัยผมจบแพทย์ก็คือ แพปสเมียร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น 5 ปีที่ผ่านมา จึงเข้าสู้ยุคการตรวจ HPV
DNA ซึ่งปัจจุบัน
เริ่มแพร่หลายในประเทศไทย แต่ ความเหมาะสม ราคา งบประมาณ ในแต่ละประเทศ
ก็จะเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขด้วย
เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากที่มีการพัฒนาความก้าวหน้าให้สตรีรู้สึกมีโอกาสได้ทราบความเป็นไปเสมือนว่าในอนาคตโรคนี้คงจะธรรมดาลง
ตอบลบ