สัปดาห์นี้ มีผู้ป่วยท่านหนึ่ง มาขอคำปรึกษาเรื่องการไปรักษาที่ประเทศญี่ปุ่น โดยผู้ป่วยมีประวัติเป็นมะเร็งโพรงหลังจมูก
ได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ครั้งนี้ตรวจพบก้อนที่โพรงหลังจมูกอีก โชคดีมากที่แพทย์ไม่ฉายรังสีซ้ำ เพราะลักษณะก้อนที่เกิดขึ้น ไม่เหมือนก้อนที่เยื่อบุ จึงได้รับการผ่าตัด ด้วยประสาทศัลยแพทย์
และแพทย์ทางโสต ศอ นาสิก ผลทางพยาธิวิทยา พบว่าเป็นมะเร็งของเนื้อเยื่อ แต่เนื่องจากเป็นที่โพรงหลังจมูกที่เป็นส่วนฐานกะโหลกศีรษะ ซึ่งมีข้อจำกัดในการผ่าตัดมากทีเดียว จึงมีส่วนของเนื้องอกที่เหลืออยู่จำเป็นต้องวางแผนที่จะฉายรังสี
ประเด็นอยู่ที่ว่า แม้การฉายรังสีได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ตั้งแต่การใช้แร่เรเดียม รังสีโคบอลต์ และเครื่องเร่งอนุภาค (Linear Accelerator) โดยมีการพัฒนาเทคนิคการฉายรังสีแบบต่างๆ ทั้ง 3 มิติ และ 4 มิติ
ที่เรียกว่า 3-Dimensional
Conformal Radiotherapy (3D CRT), Intensity Modulated
Radiotherapy (IMRT), Image-Guided Radiotherapy (IGRT) และ 4-Dimensional
Conformal Radiotherapy (4D CRT) รวมทั้งเทคนิคการผ่าตัดด้วยรังสีที่เรียกว่า
Radiosurgery
ด้วยความก้าวหน้าเหล่านี้ ได้เพิ่มอัตราการอยู่รอดและลดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาอย่างชัดเจน แต่ทั้งหมด เป็นการใช้รังสี โฟตอน (Photon) เป็นหลัก
โดยเครื่องกำเนิดรังสีที่เรียกว่าเครื่องเร่งอนุภาค (Linac) ซึ่งยังมีข้อจำกัดในการรักษามะเร็งในหลายตำแหน่ง จึงได้มีการพัฒนานำรังสีโปรตอนที่มีความทันสมัยและประสิทธิภาพสูงเข้ามาใช้ในการรักษา
แต่เพราะปัญหาเครื่องมือ ราคาสูงและยังไม่มีการติดตั้งในประเทศไทย
รังสีโปรตอน มีข้อดีเหนือกว่า รังสีโฟตอน อย่างไร
รังสีโปรตอนเป็นรังสีชนิดอนุภาค
มีข้อดีเหนือกว่ารังสีโฟตอน ซึ่งเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คือ รังสีโฟตอนจะให้ปริมาณรังสีสูงสุดบริเวณใกล้ผิว และค่อยๆลดลงตามความลึกที่รังสีเคลื่อนที่ผ่าน แต่รังสีชนิดโปรตอนจะปล่อยพลังงานทั้งหมดที่ความลึกหนึ่งห่างจากผิว
เรียกคุณสมบัติดังกล่าวว่า “Bragg Peak” ทำให้ที่ความลึกนั้นได้ปริมาณรังสีสูงสุด
หลังจากนั้นปริมาณรังสีจะลดลงอย่างรวดเร็วจนเป็นศูนย์
ดังนั้นปริมาณรังสีบริเวณทางเข้าจะได้รับรังสีน้อยกว่า และส่วนที่อยู่ต่อจากก้อนเนื้อนอกจะได้รับรังสีน้อยกว่าการฉายด้วยรังสีโฟตอนเช่นกัน
ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว
รังสีโปรตอนจะปล่อยพลังงานโดยตรงให้ก้อนมะเร็ง (Tumor) แล้วหยุดทันที ดังภาพ
ภาพแสดง
ส่วนตรงกลางเป็นเนื้องอกที่มีสีชมพู อยู่ในช่วง 20 ซม.จากผิว แนวลำรังสีสีเขียวคือ รังสีโฟตอน ลำสีฟ้าเป็นของโปรตอน จะเห็นได้ว่า ตรงระดับผิวที่ระดับศูนย์ ปริมาณรังสีของโฟตอนซึ่งเป็นสีเขียวจะสูงกว่าสีฟ้ามาก และส่วนต่อจากก้อนเนื้องอกสีชมพู
ก็จะยังมีสีเขียวของรังสีโฟตอนอยู่ แต่จะไม่มีรังสีจากการฉายโปรตอน
หรือสีฟ้าอีก
จากภาพแสดงการกระจายของรังสีโฟตอน (สีเขียว) กับการกระจายของรังสีโปรตอน (สีฟ้า) นำไปสู่ความสามารถเพิ่มปริมาณรังสีที่ก้อนมะเร็ง และลดปริมาณรังสีที่อวัยวะข้างเคียงได้ การรักษาด้วยรังสีโปรตอนจึงมีประโยชน์ในการเพิ่มโอกาสการหายขาดของโรคมะเร็ง ลดผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยรังสีและลดโอกาสการเกิดมะเร็งชนิดทุติยภูมิ
โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็ก ที่เกิดจากปริมาณรังสีจำนวนน้อยในอวัยวะปกติ ดังตัวอย่างในการฉายรังสีจริง
ภาพแสดงการกระจายตัวปริมาณรังสีในบริเวณศีรษะและลำคอของเทคนิคการฉายรังสีปรับความเข้มจากการฉายรังสีโฟตอน (บน) และโปรตอน (ล่าง) จะเห็นได้ว่าปริมาณรังสีของโฟตอนจะโดนอวัยวะต่างๆในบริเวณที่มากกว่า
ขณะนี้มีการเพิ่มขึ้นของการให้บริการการรักษาด้วยรังสีโปรตอนอย่างรวดเร็ว
ในปี ค.ศ. 2000 มีศูนย์ที่บริการการรักษาด้วยรังสีโปรตอนเพียง 19 ศูนย์
เพิ่มขึ้นเป็น 39 ศูนย์ในปี 2012 และเพิ่มเป็นอย่างน้อย 52 ศูนย์ในปี ค.ศ. 2015
ดังนั้นท่านควรปรึกษาแพทย์ที่รักษาท่านก่อนว่าควรที่จะใช้รังสีชนิดไหนในการรักษาโรคของท่าน ทั้งนี้เพราะด้วยเครื่องมือที่มีอยู่ในปัจจุบัน ก็สามารถครอบคลุมการรักษาได้หมด แต่รังสีโปรตอนจะมีข้อดีกว่าในกลุ่มที่มีข้อบ่งชี้จำเพาะประมาณร้อยละ 10
ของผู้ป่วยทั้งหมดเท่านั้น
อย่างเช่นในผู้ป่วยรายนี้ ซึ่งผมสนับสนุนให้เขาไปรักษาด้วยรังสีโปรตอนที่ประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นมะเร็งที่ดื้อต่อรังสี และเป็นการฉายรังสี ซ้ำ
ซึ่งมีข้อจำกัดในการให้ปริมาณรังสีสูง ประกอบกับเป็นเนื้องอกในตำแหน่งฐานกะโหลกศีรษะ ซึ่งเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนสูง
และแน่นอนที่สุด ต้องรับกับราคาที่สูงของเทคนิคนี้ได้
ผมหวังว่าในอนาคต
ด้วยความชัดเจนของการศึกษาวิจัย ด้วยเครื่องมือที่ถูกลง ประกอบการพัฒนาเทคโนโลยีที่ง่ายต่อการใช้มากขึ้น เราคงได้เห็นโปรตอนในประเทศไทย เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีชั้นสูงในการรักษาโรคของประชาชนคนไทยทุกระดับครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น