เครดิตภาพประกอบ: http://www.theguardian.com/us-news/2015/dec/06/jimmy-carter-says-he-is-cancer-free |
ตามที่ผมเคยลงเรื่อง
อดีตประธานาธิบดี จิมมี คาร์เตอร์ ตอน ใจเหนือมะเร็ง เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ตอนนั้น ท่านกล้าประกาศว่าท่านป่วยเป็นโรคมะเร็งในวัย 90 ย่างเข้า 91 ว่ามะเร็งในตัวท่าน
ซึ่งเริ่มต้นที่ผิวหนัง ชนิด Melanoma หรือมะเร็งเม็ดสี กำลังลุกลามจากตับไปสู่สมองอย่างรวดเร็ว ขณะนั้นเชื้อมะเร็งได้ลามขึ้นไปถึงสมอง 4
จุดเเล้ว ท่านได้กล่าวว่า อนาคตของท่านอยู่ในมือของพระเจ้าที่ท่านศรัทธา "It
is in the hands of the god I worship" ท่านเดินหน้ารับการรักษาด้วยการฉายรังสี และรับยาต่อเนื่องขณะนั้นท่านมีกำลังใจที่ดี เปี่ยมไปด้วยพลังของการต่อสู้
วันนี้ ไม่ใช่ปาฏิหาริย์
ทั้งที่มันเหมือนเป็นเช่นนั้น เพราะท่านประกาศว่าปัจจุบัน อาการแสดงและการตรวจด้วยเอกซเรย์สแกน ไม่พบรอยโรคมะเร็งแล้ว นับเป็นข่าวดีต่อท่านและผู้ป่วยในกลุ่มเดียวกัน
เบื้องหลังการรักษานั้น หลังจากท่านได้รับการฉายรังสีแล้ว ท่านได้รับยา Pembrolizumab หนึ่งในยาใหม่ที่สร้างความหวังในการรักษามะเร็งด้วยการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (Immnunotherapy) ยา Pembrolizumab หรือที่รู้จักในชื่อการค้าว่า Keytruda ได้รับอนุมัติจาก FDA ในสหรัฐ เมื่อปี2011
ทฤษฎีการรักษาโรคมะเร็ง
ด้วยภูมิคุ้มกันนั้นมีมานับเป็นสิบสิบปี
จนกระทั่งบัดนี้พบว่าเป็นยาที่ประสบผลสำเร็จอย่างน่าทึ่ง ทั้งยังมีผลดีอย่างไม่น่าเชื่อกับมะเร็งบางชนิดเช่น
ปอด ศีรษะและลำคอ
แม้การใช้ยากลุ่มนี้
ซึ่งนอกจาก Keytruda
แล้ว ยังมี Opdivo ต่างได้รับการอนุมัติใช้ในการรักษา Advanced Melanoma หรือมะเร็งเม็ดสีในระยะลุกลาม ทั้ง 2 ตัว มีคุณสมบัติเหมือนกัน คือขจัดโปรตีน Pd-1 ซึ่งเป็นตัวหยุดการต่อสู้เซลล์มะเร็งของระบบภูมิคุ้มกัน เพียงแต่อาจจะต่างเรื่องจำนวนและตารางการให้ยา
หลังจากที่ท่านจิมมี่เล่าถึงอาการป่วยมะเร็งที่หายไป
ผู้ป่วยบางคนพยายามเรียกร้องขอยาแบบเดียวกัน บางคนถึงกับเรียกว่า The
President Drug บ้างก็ขอเปลี่ยนยาที่ได้รับอยู่เดิม จึงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันในหลากหลายมุมมอง
โดยทั่วไป เชื่อว่าเป็นไปได้ที่ยาตัวนี้ขจัดมะเร็งในสมองของท่านจิมมี่คาร์เตอร์ แต่ตัวยายังนับว่าใหม่เกินกว่าที่ใครจะทราบว่า อาการจะกลับมาอีกหรือไม่และเมื่อไร
ขณะเดียวกัน แพทย์บางท่าน เช่น Dr. Atkins จาก ศูนย์มะเร็ง Georgetown กรุงวอชิงตัน ได้มีความเห็นว่ารังสีรักษาก็สามารถทำลายภาวะมะเร็งลุกลามไปยังสมองได้ดี ฉะนั้นตัวยาดังกล่าวอาจจะได้ผลเอง หรือ
เป็นเพียงเป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้นก็ได้
ทั้งนี้ใช่ว่ายาตัวนี้จะทำให้ผู้ป่วยหายจากโรคทุกราย เพราะยากลุ่มนี้มักจะได้ผลประมาณ 1 ใน 5 ราย แต่ที่น่าสนใจ คือ หากได้ผล จะได้ผลที่ดีมาก สิ่งที่คนไม่เข้าใจและต้องการรู้ว่าทำไมบางคนไม่ตอบสนองต่อยา ดังนั้นนักวิจัยก็ยังคงต้องมีการศึกษาวิจัยเพื่อความก้าวหน้าของการรักษาอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ข่าวดีของท่านได้สร้างความหวังแก่ผู้ป่วยมะเร็งอย่างมากหลายคนจะรู้สึกว่า ไม่ว่าโรคจะหายจริงหรือไม่ แต่ด้วยวัย 91 ปีของท่านอดีตประธานาธิบดี ท่านได้จากโรคมะเร็งไปมากกว่าจะจากไปเพราะโรคมะเร็ง เพราะโรคมะเร็งทำอะไรท่านไม่ได้ทั้งกายและใจ ท่านเป็นผู้ป่วยตัวอย่างที่น่ายกย่องที่สุดท่านหนึ่งครับ
ข้อมูลจาก The
Guardian, Statnew, USA today
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น