จากการที่ผมได้มีโอกาสไปฟังประชุมใหญ่ ทางวิชาการด้านมะเร็งวิทยา ภาคพื้นยุโรปหรือ ECCO(European Cancer Congress) เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2015 ณ กรุงเวียนนาประเทศออสเตรีย มีผู้เข้าร่วมประชุมหลายพันคน
พร้อมวิทยากรทั่วโลก ที่มีความเชี่ยวชาญมาเสนอความก้าวหน้าทางการรักษาโรคมะเร็ง ผมจึงถือโอกาสนำความก้าวหน้าที่มีความสำคัญ
มาเสนอให้ทีมสู้มะเร็งเราได้รับทราบ ซึ่งผมเลือกจากรายงานที่ถูกคัดเลือกนำเสนอใน Oncopost ซึ่งเป็นจุดเด่นของงาน ผมจะนำเสนอไปตามลำดับวันที่ประชุม โดยจะเขียนให้ง่าย แต่อาจจะเข้าใจยาก
หากท่านผู้อ่านท่านใด ช่วยเสริมให้เข้าใจง่ายๆ จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
เพื่อประโยชน์ของพวกเราครับ
1. การใช้รังสีรักษาร่วมกับภูมิคุ้มกันบำบัด
เป็นที่ทราบกันดีว่ารังสีรักษาเป็นหนึ่งในบทบาทหลักของการรักษามะเร็ง ในขณะที่ภูมิคุ้มกันบำบัดซึ่งเป็นสิ่งที่กล่าวถึงมานาน แต่หากจะนับว่าเป็นแนวทางในการรักษาโรคมะเร็งนั้น ยังถือว่ายังใหม่อยู่
การนำทั้งสองสิ่งมารวมกัน จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
เป็นที่ยอมรับว่า รังสี สามารถก่อให้เกิดการตายของเซลล์ โดยผ่านทางกระบวนการภูมิคุ้มกัน ทำให้มีการหลั่งสารสื่อกลางของการอักเสบ (Inflammatory Mediator) กลุ่ม T-cel- Recruiting Chemokines , Interferon18 และ Tumor Necrosis Factor Alpha และเพิ่ม Expression ของ Tumor Cell Antigen ซึ่งจะถูกจับด้วย
T-cells นำไปสู่การทำลายเซลล์มะเร็ง
จากการเฝ้าสังเกต พบว่าการตายของเซลล์ไม่ได้เกิดเฉพาะในตำแหน่งที่ฉายรังสีเท่านั้น แต่เกิดในตำแหน่งอื่นๆที่เกิดจากการกระจาย เรียกว่า Abscopal Effect ซึ่งเป็นการยืนยันผลของรังสีในด้านระบบภมิคุ้มกัน แต่ผลนี้ อาจจะไม่เพียงพอในการทำลายเซลล์มะเร็งได้ชัดเจน แต่นำไปสู่การใช้รังสีในการเสริมผลของภูมิคุ้มกันบำบัด โดยปัจจัยสำคัญ คือการเลือกชนิดภูมิคุ้มกัน ปริมาณรังสีต่อครั้ง และปริมาณรังสีรวม
ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ จะเกิดความแตกต่างในมะเร็งแต่ละชนิด
ในการศึกษาทางคลินิค พบว่า การใช้ร่วมกันของรังสีและภูมิคุ้มกันบำบัด มีความปลอดภัย
สามารถนำไปรักษาผู้ป่วยมะเร็งในระยะลุกลามหรือล้มเหลวจากการรักษาอื่นได้
2. Renal Cell Carcinoma : Immunotherapies Extend Survival
สองรายงานการศึกษาที่น่าจะนำสู่การเปลี่ยนแปลงใหม่จากการรักษาหลัก
ในมะเร็งเซลล์ไต หรือ Renal Cell Carcinoma ในระยะลุกลามหรือมีการกระจายที่มีข้อจำกัด และผลอัตราการอยู่รอดต่ำคือ ศาสตราจารย์ Padmanee Sharma จาก MD Ander Cancer Center สหรัฐอเมริกา รายงานการใช้ยา Nevalumab ในการศึกษาแบบสุ่ม ได้อัตราการอยู่รอดเฉลี่ย 25 เดือนซึ่งสูงกว่า 19 เดือน
ที่ใช้ยามาตรฐานเดิม Everolimus อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p= 0.0018) ในขณะที่มีภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า
Nevolumab เป็น PD-1 Immune Checkpoint Inhibitor ซึ่งได้รับการอนุมัติในการใช้สำหรับมะเร็งผิวหนังชนิด Melanoma และ มะเร็งปอดชนิด
Non-small cell ผลการศึกษาในครั้งนี้ จะนำไปสู่มาตรฐานการรักษาในอนาคต
นอกจากนั้น ยังมีรายงานที่แสดงว่า Tyrosine Inhibitor Cabozantinib ก็ให้ผลการรักษาที่ดีเป็น 2 เท่า ในเรื่อง Progression-Free Survival เมื่อเทียบกับยามาตรฐาน Everolimus
3. Long Term Benefits of Hyperthermia in Localized Soft Tissue Sarcoma
ในการประชุมวันที่ 2 ของ ECC 2015 นอกจากเรื่องภูมิคุ้มกันบำบัดที่เป็นเรื่องเด่นแล้ว
ยังมีรายงานที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยศาสตราจารย์ Rolf
Issels จากประเทศเยอรมัน ศึกษาการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเนื้อเยื่อจำนวน 341 คน ที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด Etoposide / Ifosphamide/ Doxorubicin อย่างเดียว หรือ ร่วมกับ ความร้อน Hyperthermia 42 องศา 60 นาที ในวันที่ 1,4 ของการได้ยา
ในการติดตามเฉลี่ย 74 เดือนในกลุ่มที่ได้รับ Hyperthermia จะมีอัตราการอยู่รอดที่ยาวกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 15.4 ต่อ 6.2 ปี
อัตราการอยู่รอดที่ 5 ปี เท่ากับ 63 % ต่อ 51 %
ศาตราจารย์ Issels ได้ให้ข้อสรุปว่าการเพิ่ม Hyperthermia เสริมผลยาเคมีบำบัด
ควรได้รับการพิจารณา เป็นมาตรฐานในการรักษา high –risk soft tissue sarcoma
(เอกสารอ่านเพิ่มเติม Issels RD, et al. Lancet Oncol 2010;11:561-70 และ Toraya-Brown S., et al Int J Hyperthernia 2014;30:531-9)
ผมหวังว่า ความก้าวหน้านี้
จะเป็นอีกหนึ่งความหวังที่จะช่วยผู้ป่วยมะเร็ง
ไม่ว่าจะเป็น Hope or Hype ความหวังหรือความเว่อร์ เราคงต้องใช้ดุลยพินิจในการเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วย อย่าใช้ตามกระแสโดยขาดหลักฐานที่เหมาะสม โดยเฉพาะการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ต้องพัฒนา เพื่อตรวจหาปัจจัยการตอบสนองที่แน่นอนที่สุด อย่างไรก็ตาม ความรู้ด้านพื้นฐานทางชีววิทยา กำลังนำไปสู่การพลิกมิติการรักษาโรคมะเร็งด้วย ความสัมพันธ์และความสำคัญทางคลินิค
จากการะตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่กล่าวมาไม่ว่าจะเป็นยา ฮอร์โมน ความร้อน Hyperthermia
และแม้แต่รังสีก็เพิ่งจะชัดเจนมากขึ้นในปีนี้ครับ มีคนกล่าวว่า มาเร็วกว่าที่คิด ผมเชื่อว่าในระยะ 5 ปีข้างหน้า
จะชัดเจนมากขึ้นครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น