วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558

การลดภาวะแทรกซ้อนจากยาเคมีบำบัดด้วยการใช้ อินซูลิน ร่วมในการรักษา


การรักษามะเร็งด้วย Insulin Potentiation Therapy

เนื่องจากการรักษาโรคมะเร็ง ยังมีความหลากหลายในวิธีการ การทดลองยังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา  ความเชื่อของบุคลากรทางการแพทย์ที่แตกต่างกัน การนำเสนอข้อมูลเพื่อความหวังใหม่ให้ผู้ป่วยมีอัตราอยู่รอดและชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการและหรือเพื่อผลประโยชน์อื่นๆ เมื่อมีผู้สนใจถามเรื่องการใช้วิธี Insulin Potentiation Therapy จึงเป็นเหตุให้ผู้เขียนพยายามหาข้อเท็จจริง ซึ่งแต่ละข้อมูลจะมีทั้งความจริงที่พิสูจน์และยืนยันแล้ว หรือ ยังไม่พิสูจน์ชัดเจน ทั้งนี้ผู้อ่านควรพิจารณา และปรึกษาแพทย์ของท่านด้วย


IPT  (Insulin Potentiation Therapy)  คือ อะไร ?

IPT ในด้านการรักษาโรคมะเร็ง  คือ การใช้  Insulin ร่วมกับยาเคมีบำบัดที่น้อยลง   ซึ่งมาจากแนวคิด ของความนุ่มนวลในการให้เคมีบำบัด โดยลดผลแทรกซ้อน จนถึงไม่มีภาวะแทรกซ้อน   จึงมีการพยายามลดปริมาณยาเคมีบำบัด   จนถึงระดับ 1/ 10  ของปริมาณมาตรฐาน  แต่เพิ่มผลการรักษาโดยการใช้อินซูลินซึ่งลดระดับน้ำตาล  ด้วยความคิดที่อินซูลินทำให้ เซลล์มะเร็งเปิดช่องทางหรือตัวรับยาเข้าสู่เซลล์ ความคิดนี้เริ่มใช้ใน Mexico  โดย  Dr. Donato Perez   Garcia, Sr   และถ่ายทอดมาจนกระทั่ง  Dr. Steven G. Ayre   ในอเมริกาเริ่มตีพิมพ์บทความและหนังสือ จนเป็นที่มาในคลินิคแพทย์ทางเลือก

วิธีการรักษา

ผู้ป่วยจะต้องงดน้ำงดอาหาร 6-9 ชั่วโมง และได้รับน้ำเกลือชนิดมีกลูโคส พร้อมกับการฉีดอินซูลินตามน้ำหนักตัว ต่อด้วยยาเคมีบำบัด ในช่วงระยะไม่กี่นาที ซึ่งเขาเรียกว่า  "Therapeutic Moment"  ซึ่งเป็นช่วงน้ำตาลในร่างกายต่ำ


ณ จุดนี้อาจเป็นอันตรายได้มาก เพราะ การตอบสนองต่อ อินซูลินของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน ภาวะ Hypoglycemia  หรือน้ำตาลต่ำจะเกิดขึ้น เมื่อเริ่มมีอาการน้ำเกลือที่มีน้ำตาลก็จะถูกปล่อยเข้าสู่ร่างกาย เพื่อรักษาระดับน้ำตาล ต่อจากนั้นผู้ป่วยจะดื่มน้ำและรับประทานอาหารได้ การรักษามักจะเป็นสัปดาห์ละ  2  ครั้ง  ทั้งหมดประมาณ 12- 18 ครั้ง โดยปรับระดับอินซูลินจากการได้รับครั้งแรก

แม้จะมีรายงานผลเฉพาะรายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีรายงานที่มีนัยสำคัญเพียงพอที่จะแสดงว่า IPT ปลอดภัย และได้ผลดีในการรักษามะเร็ง  ในทางตรงข้ามอาจจะมีผลข้างเคียงที่รุนแรงด้วย เช่น มีรายงานหนึ่งจากประเทศอุรุกวัย รายงานผู้ป่วยมะเร็งเต้านม  30 รายที่ดื้อต่อการรักษามาตรฐาน  แบ่งเป็น 3 กลุ่มที่ได้ยา อินซูลิน เปรียบเทียบ กับ อินซูลิน + ยา และยา Methotrexate อย่างเดียว พบเพียงว่าในกลุ่มที่ได้ยาร่วมกับ อินซูลิน จะควบคุมโรคได้ดีกว่า โดยก้อนจะโตขึ้นเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น แต่ไม่มีรายงานเรื่องอัตราการอยู่รอด  หรือคุณภาพชีวิต

แม้จะมีรายงานอื่นๆ แต่ก็จะเป็นในลักษณะเดียวกัน ที่ขาดการติดตามที่เพียงพอเพื่อแสดงผลที่ชัดเจน ที่จะตีพิมพ์ได้ในวารสารมาตรฐาน 

ภาวะแทรกซ้อน              
ด้วยเหตุที่การตอบสนองต่ออินซูลินที่จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงแตกต่างในแต่ละบุคคล  หากผลระดับน้ำตาลต่ำมากเกินไป อาจเกิดอันตรายต่อชีวิตได้  และหากภาวะน้ำตาลต่ำนานเกินไป ผู้ป่วยเบาหวาน หรือ ผู้ที่ได้รับยากลุ่ม  Beta-Blocker เช่น Atenolol (Tenormin) and Metoprolol (Lopressor) อาจจะบดบังให้ไม่เห็นอาการของน้ำตาลต่ำ เช่น อาการใจสั่น  เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องระวังในกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก นอกจากนั้น  บางคนอาจจะมีความดันต่ำ หายใจลำบาก ผื่น คัน ได้
ดังนั้นจึงต้องระวังผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวเป็นอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้จึงมีบทความ Why You Should Stay Away from  Insulin Potentiation Therapy  ซึ่งเรียบเรียงโดย  Robert Baratz, M.D., D.D.S., Ph.D.เขียนแสดงความขัดแย้งเอาไว้ครับ                           

แหล่งข้อมูล  www.cancer.org/treatment โดย American Cancer Society
และ  www.quackwatch.org/01QuackeryRelatedTopics/Cancer/ipt.html


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น